Thursday, September 23, 2004

Singing Blue Jay

ตั้งชื่อตัวเองเป็น Singing Blue Jay มาตั้งแต่ 9 ปีที่แล้ว ความจริงคือตั้งตาม character และ ชื่อย่อของตัวเอง โดยไม่เคยเห็นเจ้า Blue Jay ตัวเป็นๆมาก่อนเลย ไม่เคยสงสัยด้วยซ้ำว่าเป็นนกแบบไหน นิสัยเป็นยังไง เพราะเป็นนกที่ไม่มีในประเทศไทย ถ้าจะดูคงต้องถ่อไปดูที่อเมริกาซึ่งไม่มีแผนจะไปในระยะอันใกล้นี้ ยังไงก็ตามได้ลองค้นดูรายละเอียดเกี่ยวกับ Blue Jay ลองดูรูปแล้วพบว่าเป็นนกที่สวยทีเดียว (เลือกไม่ผิดเลยเรา…) ก็เลยเก็บข้อมูลไว้ก่อนเผื่อจะไปดูตัวจริงในอนาคต

ว่ากันแบบอนุกรมวิธานก็ต้องบอกว่า Blue Jay อยู่ใน Phylum: Chordata Class: Aves Order: Passeriformes
Family: Corvidae Genus: Cyanocitta SPECIES: Cyanocitta cristata เป็นนกที่พบได้ทั่วไปในแคนาดาตอนใต้ และอเมริกา เป็นนกที่มีการอพยพลงใต้ในช่วงฤดูหนาว แถมมีชื่อในภาษาฝรั่งเศสด้วยคือ Geai bleu

Blue Jays เป็นนกขนาดกลางตัวใหญ่ประมาณ 10 - 11 นิ้ว เป็นนกสีสวยที่มีหงอนเป็นสีน้ำเงินม่วงอ่อนๆ ใต้ฐานหงอนจากตาจนถึงหน้าผากจะมีแถบสีดำ บริเวณหู แก้ม คอเป็นสีขาว ใต้คอเป็นแถบสร้อยคอสีดำที่ต่อเชื่อมไปถึงข้างหู อกช่วงล่าง ท้องและก้นเป็นสีขาว ส่วนบนเป็นสีเทาฟ้าและมีสีสดที่สุดบริเวณสะโพก ปีกและหางเป็นสีฟ้าสดมีแถบดำสีดำสนิท เป็นช่วง ปีกมีส่วนปลายสีขาว มุมหางมีสีขาวเช่นกัน ใต้ปีกและหางเป็นสีเทาหม่น ยกเว้นปลายขนสีขาว ปาก ขาและตาสีดำ ตัวผู้และตัวเมียมีลักษณะคล้ายคลึงกัน ในอเมริกาเหนือมีเฉพาะ Steller's Jays และ Blue Jays ที่มีแถบบนปีกและหาง ทั้งคู่มีหงอนแต่ของ Steller's Jay จะเป็นสีเกือบดำ

Blue Jay สามารถทำเสียงได้หลายแบบ มักเลียนเสียงนกเหยี่ยว โดยเฉพาะ Red-shouldered Hawk ว่ากันว่าเสียงนั้นเป็นการบอกพวกพ้องว่ามีเหยี่ยวอยู่ใกล้ๆ หรือไม่ก็เอาไว้หลอกลวงนกอื่นๆให้เชื่อมามีเหยี่ยวอยู่ที่นั่น เมื่ออยู่ใกล้รัง Blue Jay จะอยู่เงียบๆ รังมักจะอยู่บนต้นไม้สูงประมาณ 8-20 ฟิต ตัวเมียจะทำหน้าที่กกไข่ในขณะที่ตัวผู้คอยหาอาหารมาให้ ทั้งตัวผู้และตัวเมียจะช่วยกันเลี้ยงดูลูก ประมาณช่วงปลายฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วงจะเห็น Blue Jay เป็นครอบครัวหรือ ฝูงเล็กๆ

หลายคนไม่ชอบนก Blue Jay ด้วยความที่มันเป็นนกใจร้ายไปกินไข่ของนกอื่นๆ แต่จากการศึกษาข้อมูลพบว่ามีนกเพียง 1 % เท่านั้นที่มีหลักฐานพบว่ามีไข่หรือนกอื่นๆที่กระเพาะ ส่วนใหญ่แล้วจะพบว่าอาหารคือแมลงและถั่วนัทประเภทต่างๆ

บางเว็บไซต์ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการอพยพของ Blue Jay ว่ายังคงเป็นเรื่องลึกลับเพราะถึงแม้จะเห็นปรากฏการณ์การอพยพของนกนับพันตัวอย่างชัดเจน แต่ก็พบว่ามีนกบางตัวอาศัยอยู่ทั่วไปตลอดฤดูหนาวโดยไม่มีการอพยพ คำถามคือนพพวกไหนที่อพยพและพวกไหนไม่อพยพ แถมมีนกบางตัวที่อพยพไปทางใต้ในปีหนึ่งแล้วอยู่ทางเหนือในอีกฤดูหนาวหนึ่ง และในปีถัดไปกลับอพยพลงใต้อีก ทำไมจึงเป็นเช่นนั้นก็ยังไม่มีใครให้เหตุผลที่ชัดเจนได้

ส่วนเหตุผลของ Singing Blue Jay ที่มีชื่อนี้คือ เป็น J ที่ชอบสีฟ้าและก็ชอบร้องเพลง แถมบางที J ก็เกิดอาการ blue บ้างในบางครั้ง

ค้นข้อมูลจาก
1. http://birds.cornell.edu/BOW/BLUJAY/
2. http://www.nhptv.org/natureworks/bluejay.htm
3. http://www.enchantedlearning.com/subjects/birds/printouts/Bluejayprintout.shtml
4. http://birds.cornell.edu/programs/AllAboutBirds/BirdGuide/Blue_Jay.html
5. http://www.fcps.k12.va.us/StratfordLandingES/Ecology/mpages/blue_jay.htm

Monday, September 13, 2004

Cleanroom Technology

สืบเนื่องจากการเข้าอบรมเรื่องการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มีการทำงานในตู้ปลอดเชื้อที่เป็น laminar flow ทำให้นึกถึงสภาพแวดล้อมที่เคยทำงานสมัยที่ยังเป็นวิศวกรฝ่ายผลิตในโรงงานผลิตฮาร์ดดิสก์ ซึ่งต้องทำงานในห้องcleanroom หรือห้องสะอาด เพื่อไม่ให้มีฝุ่นเข้าไปในชิ้นงาน ฝุ่นเม็ดเล็กๆแทบจะมองไม่เห็นสามารถสร้างความเสียหายให้กับชิ้นงานได้มาก สมัยนั้นทำงานใน cleanroom class 100,000 และ class 100 เกือบจะลืมเรื่องพวกนี้ไปหมดแล้วทั้งๆที่เคยถูกอบรมเรื่องนี้มามากมาย

ลองค้นเข้าไปดูในอินเทอร์เน็ตพบว่าเฉพาะพิมพ์คำว่า cleanroom technology ก็มีเว็บไซต์ที่ค้นเจอเป็นล้านเว็บ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เข้าใจง่ายจึงลองค้น FAQ ดู แล้วลองสรุปดูบวกกับความรู้เดิมในการทำงานดังนี้

Cleanroom หมายถึงพื้นที่ที่ถูกควบคุมปริมาณฝุ่นและแบคทีเรียในอากาศ นอกจากนั้นยังมีการควบคุมความเร็วลม ความดัน อุณหภูมิ ความชื้น ความสั่นสะเทือนและปัจจัยอื่นๆที่มีผลต่อการทำงาน

โดยทั่วไปจะเรียกระดับความสะอาดของ cleanrooms เป็น class รายละเอียดดังตารางข้างล่างนี้

MetricClass EnglishClass           0.1M            0.2 M         0.3M        0.5M
M1.5              1                            35                7.5              3              1
M2.5             10                           350               75             30            10
M3.5            100                          -                   750            300         100
M4.5           1,000                        -                     -                -           1,000
M5.5         10,000                        -                     -                -           10,000
M6.5         100,000                      -                     -                -           100,000

โดยการวัดจะวัดจำนวนของฝุ่น(particles)ต่อหนึ่งคิวบิคฟุต ตัวอย่างเช่น เมื่อพูดถึง cleanroom class 10 จะต้องไม่มีฝุ่นขนาด 0.1 ไมครอนเกิน 350 เม็ด จะต้องไม่มีฝุ่นขนาด 0.2 ไมครอนเกิน 75 เม็ด จะต้องไม่มีฝุ่นขนาด 0.3 ไมครอนเกิน 30 เม็ดและจะต้องไม่มีฝุ่นขนาด 0.5 ไมครอนเกิน 10 เม็ด ทั้งหมดนี้เทียบต่อหนึ่งคิวบิคฟุตอากาศ และต้องไม่มีฝุ่นขนาด 5 ไมครอนเลย ถ้าเป็น Class 100,000 จะไม่มีข้อจำกัดสำหรับฝุ่นขนาด 0.1, 0.2, และ 0.3 ไมครอน แต่จะต้องไม่มีฝุ่นขนาด 0.5 ไมครอนเกิน 100,000 เม็ด ทั้งหมดนี้เทียบต่อหนึ่งคิวบิคฟุตอากาศ และต้องไม่มีฝุ่นขนาด 5 ไมครอนเกิน 700 เม็ด

NOTE: ในการวัดระบบ English (US Customary Units), จำนวนของฝุ่นขนาด 0.5 ไมครอนใน cleanroom หนึ่งๆ จะเป็นตัวแยกแยะระดับของความสะอาด

หมายเหตุ: หนึ่งไมครอนหรือไมโครเมตรเท่ากับเศษหนึ่งส่วนพันเมตร

ในการใช้งาน cleanroom จะมีการใช้แผ่นกรองที่เรียกว่า เฮปป้า HEPA ย่อจากคำว่า High Efficiency Particulate Air

ตัวกรอง HEPA จะถูกจัดความสามารถจากความสามารถในการดักจับฝุ่นขนาด 0.3 microns ฝุ่นขนาด 0.3 micron เป็นขนาดที่ถูกเลือกมาใช้ทดสอบเพราะเป็นขนาดที่ดักจับได้ยากที่สุด ฝุ่นขนาดเล็กและใหญ่กว่านี้จะถูกดักจับได้โดยใช้กลไกในการดักจับ 3 แบบเบื้องต้นคือ: diffusion, direct interception,และ inertial impaction

เท่าที่เคยทำงานใน cleanroom การรักษาความสะอาดเป็นเรื่องสำคัญ ผู้ที่จะเข้าไปทำงานจะต้องถอดรองเท้าแล้วเข้าไปเปลี่ยนชุดในห้องล็อคเกอร์ซึ่งเป็นห้องกว้างพอควรมีล็อคเกอร์เรียงรายติดผนัง มีม้านั่งไว้ให้นั่งเวลาสวมรองเท้า โดยปกติแต่ละคนจะมีล็อกเกอร์ของตัวเอง มีเสื้อชุดพิเศษสำหรับใช้ในห้อง cleanroom ที่เรียกว่าชุด จั๊มพ์สูท(Jumpsuit)เป็นชุดผ้าใยสังเคราะห์ มีแถบคาร์บอนสีดำเป็นเส้นเล็กๆอยู่ในผ้า นอกจากเสื้อก็จะมีรองเท้า หมวกผ้า หมวกกระดาษคลุมผม maskสำหรับปิดปากปิดจมูก และถุงมือ วิธีการใส่จะเริ่มจากคาดมาสค์ ใส่หมวกคลุมผม สวมหมวกผ้าที่คลุมมาถึงคอสวมชุดจั๊มพ์สูทที่เป็นเหมือนชุดหมี จากนั้น สวมรองเท้า แล้วจึงสวมถุงมือ(ชนิดไม่มีแป้ง)พูดง่ายๆว่าทั้งตัวเห็นเฉพาะบริเวณตาที่โผล่ออกมาเจออากาศ นอกนั้นถูกคลุมอยู่ใต้ชุดทั้งหมด เมื่อแต่งตัวเสร็จ จะเดินผ่านห้องเป่าลมเพื่อเป่าฝุ่นออกจากตัว หมุนไปหมุนมาสองสามรอบแล้วจึงเข้าไปในห้อง cleanroom เพื่อทำงานจริง

ทุกคนจะต้องแต่งตัวเหมือนกันไม่มีข้อยกเว้น แต่สามารถแยกกลุ่มคนเข้าไปทำงานได้โดยดูจากสีเสื้อ ซึ่งแต่ละแห่งก็ไม่เหมือนกัน ที่ทำงานเก่า จะให้พนักงานในสายการผลิตใส่เสื้อสีขาว พนักงานแผนกวิศวกรรมและ supervisor ใน line จะใช้สีฟ้า พวก Quality Assurance สีเขียวเป็นต้น

ในการนำของเข้าสู่ cleanroom ของนั้นๆถ้าเป็นชิ้นเล็กๆจะถูกจับใส่ถุง ของชิ้นใหญ่ๆก็สามารถนำเข้าได้แต่ต้องทำความสะอาดมาก่อน และไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามเมื่อจะนำเข้าห้องจะถูกเป่าด้วยแอร์กัน(air gun)เพื่อทำความสะอาดแล้วเปิดกล่องรับของเข้าห้องที่ถูกออกแบบให้เปิดได้ข้างใดข้างหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถเปิดพร้อมกันทั้งสองข้างได้ เป็นการป้องกันไม่ให้มีอาการเผลอเปิดเอาฝุ่นเข้าไปจากสภาพแวดล้อมนอกห้อง

ในห้อง cleanroom ที่ใช้สำหรับสายการผลิตอุปกรณ์อิเลกทรอนิกส์ จะไม่ได้ให้ความสำคัญเฉพาะเรื่องความสะอาดแต่จะให้ความสนใจกับเรื่อง ESD(Electrostatic Discharge)ด้วย จะมีอุปกรณ์ต่างๆเพื่อป้องกันเช่น สายเสียบกราวด์ที่ผู้ติดกับข้อมือผู้ทำงานและต่อเข้ากับจุดต่อบนโต๊ะทำงานเพื่อไม่ให้เกิด ESD เข้าไปทำอันตรายต่อชิ้นงาน

cleanroom ที่ใช้งานทั้งห้องเป็นระดับ 100,000 แต่บนโต๊ะทำงานจะมี laminar flow ควบคุมที่ class 100 เป็นสภาพการทำงานที่ฉันค่อนข้างชอบเพราะอากาศเย็นตลอดเวลา สะอาดมาก ทำงานกับอุปกรณ์ต่างๆที่ออกแบบมาอย่างน่าสนใจ โดยรวมเป็นสภาพการทำงานที่ดีมาก แต่คงไม่คิดจะไปทำอีกแล้ว :-)

ข้อมูลทั่วไปเรียบเรียงจากจาก http://www.lymtech.com/faq.htm
ข้อมูลเกี่ยวกับ HEPA เรียบเรียงจาก http://www.donaldson.com/en/aircraft/support/faq.html

Saturday, September 11, 2004

Tissue Culture เทคโนโลยีที่ใกล้ตัวกว่าที่คิด

ที่ทำงานที่นี่มีการจัดอบรมเรื่อง "การขยายพันธุ์กล้วยไม้ด้วยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ" ได้ขอเข้ารับการอบรมด้วยเป็นรุ่นที่ 2 เพราะสนใจเทคนิคนี้มานานแล้วแต่คิดมาเสมอว่ามันต้องยุ่งยากมาก อาศัยการฝึกอบรมเทคนิดพิเศษถึงจะทำได้ ครั้งนี้เขาประกาศว่าผู้เข้ารับการอบรมมีพื้นความรู้ม.3ก็เพียงพอ แสดงว่าเป็นเทคโนโลยีที่เข้ามาใกล้ชีวิตคนปกติมาก รุ่นที่ไปนี้เป็นรุ่นวันที่ 8-10 กันยายน 2547 อาจารย์ผู้สอนคือ ดร.ผดุงศักดิ์ สุขสอาด ซึ่งให้ความรู้ดีมาก อธิบายเข้าใจง่ายและเป็นภาษาที่ไม่เทคนิคมากเกินไป

เนื้อหาที่เรียนคือ ทฤษฎีความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ จากนั้นจะเป็นการแนะนำวิธีการทำงานในห้องปฏิบัติการตั้งแต่การใช้อุปกรณ์ในตู้ปลอดเชื้อขั้นพื้นฐาน การใช้หม้อนึ่งความดัน การเตรียมวุ้นอาหาร ต่อในวันที่สองด้วยการฝึกปฏิบัติเตรียมฝักกล้วยไม้ การเพาะเมล็ด การย้ายเลี้ยงโปรโตคอร์ม วันสุดท้ายเป็นการย้ายต้นอ่อน การอนุบาลต้นกล้า ทั้งนี้เน้นให้ได้ทำงานกันจริงๆ และเมื่อสิ้นสุดการอบรมแต่ละคนจะได้ต้นไม้ที่ทำการแยกออกมาในตู้ปลอดเชื้อไปเลี้ยงดูฝีมือตัวเองคนละ 2 ขวด และได้ต้นกล้าอีกจำนวนหนึ่ง

ที่โปรยหัวไว้ว่าเป็นเรื่องใกล้ตัวเพราะโครงการนี้มีจุดมุ่งหมายหนึ่งให้ชุมชนคีรีวงซึ่งเป็นหมู่บ้านตัวอย่างนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในชุมชนจริงๆ เพราะฉะนั้นอุปกรณ์ที่ใช้จึงได้ถูกปรับปรุงให้เหมาะสมกับสภาพการใช้งานในราคาที่ชุมชนสามารถจัดหาได้ด้วย จากตู้ปลอดเชื้อที่ราคาเป็นแสน เราสามารถสร้างเองได้ในราคาตู้ละ14,000 บาท เครื่องนึ่งฆ่าเชื้ออุปกรณ์แบบตั้งค่าได้และให้ทำงานอัตโนมัติที่เรียกกันว่า ออโตเคลฟ ราคา 150,000 บาท ก็สามารถใช้เป็นหม้อนึ่งที่ปรับความดันโดยการปรับปริมาณแก๊สราคา 18,000 บาท อุปกรณ์ที่ใช้ในตู้ปลอดเชื้ออาจารย์ก็ได้แสดงให้เห็นว่าถ้าสามารถไปจ้างทำเองชนิดไม่ซื้อก็สามารถทำได้ในราคาที่ถูกกว่าและใช้งานได้ดีเช่นกัน นอกจากนั้นโครงการนี้ยังตั้งใจจะเป็นพี่เลี้ยงให้คนในชุมชนได้ร่วมมือกันแล้วสร้างงานต่อโดยการให้ไปสร้างโรงเรือนเองแทนที่จะไปขอทุนทำการวิจัยมาทั้งหมด ซึ่งนั่นจะเป็นการสร้างให้ชุมชนกระตือรืนร้นและมีส่วนร่วม มีความเป็นเจ้าของ โดยส่วนตัวเห็นว่าโครงการแบบนี้เป็นประโยชน์ต่อชาวบ้านจริงๆ และทำให้เทคโนโลยีซับซ้อนกลายเป็นเรื่องใกล้ตัวได้อย่างไม่น่าเชื่อ ประโยชน์ที่ชาวบ้านจะได้รับก็ขึ้นกับจะหาแนวทางธุรกิจอย่างไรต่อไป เช่น ขยายพันธุ์พืชที่หายากและใกล้สูญพันธุ์ซึ่งมีอยู่ในเทือกเขาหลวงเป็นการอนุรักษ์พันธุ์ต้นไม้ หรือทำการเพาะพันธุ์ต้นไม้ขายก็แล้วแต่จะหาวิธีกันไป

Monday, September 06, 2004

Begonia บิโกเนียดอกไม้สวยริมระเบียง

ปกติเวลาปลูกต้นไม้ไว้บนระเบียงจะปลูกไม้กระถางเพราะดูแลง่าย ต้องหาไม้ที่ไม่ต้องการแดดมากนัก หลังจากปลูกโน่นปลูกนี่มาหลายปี ในที่สุดฉันก็มีบิโกเนียมาประดับบ้าน จุดเริ่มต้นมาจากการเห็นดอกไม้สีชมพูหวานออกดอกเป็นพวงตัดกับใบสีเขียวสดทรงกลมๆเบี้ยวๆของคุณป้าข้างบ้าน ขอคุณป้ามาปลูก 3-4 กิ่ง ปรากฏว่ามันขยายพันธ์เร็วมาก แค่ตัดกิ่งมาปักใหม่ก็ได้ต้นใหม่ และมีดอกดกจนทำให้ฉันต้องเอาไปแจกจ่ายบ้านพี่สาว และเพื่อนๆ พยายามถามว่าต้นนี้ชื่ออะไร คุณป้าบอกว่าชื่อต้นตุ๊กตา ความที่มันน่ารักเหมือนตุ๊กตา ฉันก็เห็นด้วย แต่ไม่คิดว่าชื่อจริงๆจะเป็นชื่อนั้น จนไปอ่านหนังสือรูปภาพดอกไม้มีคำบรรยายและเรียกดอกไม้แบบนี้ว่า แวกซ์ บิโกเนีย (Wax begonia)

หลังจากนั้นมีน้องชายตัวอ้วนกลมที่รักต้นไม้มากมายเอาต้นไม้มาฝากเลี้ยง มีบิโกเนียหลากชนิด ฉันเริ่มสนใจเพราะบิโกเนียเป็นไม้ใบสวย ทรงใบแปลกมาก และมีดอกสวย เท่าที่เห็นจะเห็นชนิดที่เป็นดอกพวงและมักจะเห็นสีชมพู เลี้ยงไปเลี้ยงมาตอนนี้ที่บ้านฉันมีบิโกเนียอยู่ 6 ชนิด กำลังจะทำท่าภูมิใจว่ามีหลายชนิดมากแล้ว ก็เกิดเอะใจลองไปค้นเว็บค้นหนังสือดู เห็นข้อมูลแล้วจะเป็นลม มีบิโกเนียมากกว่า 500 ชนิดในโลก ท่าทางจะไม่สามารถตามเก็บมาเลี้ยงได้ขนาดนั้น

ฉันค้นต่อเพื่อดูประวัติและรายละเอียดของบิโกเนียพบว่า หลายประเทศให้ความสนใจมาก บางที่มีองค์กรบิโกเนียโดยตรง มีหนังสือรายปักษ์ มีภาพมีข้อมูลมากพอประมาณ แต่ข้อมูลภาษาไทยมีน้อย

บิโกเนียเป็นไม้ป่าที่พบในอเมริกาใต้และอเมริกากลาง และพบได้ในอินเดียกับประเทศในเขตร้อนอื่นๆ บิโกเนียแบ่งได้ 7 กลุ่มคือ Cane-stemmed ทรงใบเป็นรูปหัวใจ Rex-cultorum ต้องการอุณหภูมิประมาณ 70-75 องศาF Rhizomatous oms. ต้องการอุณหภูมิประมาณ 66 องศาF และให้น้ำโดยวิธีจุ่มน่ำจากข้างล่าง Semperflorens , Shrub-like , Tuberous มักใช้ประดับในงาน เป็นบิโกเนียแบบมีหัวใต้ดินและมีดอกหลากสี สูงประมาณ 15 นิ้วมีใบใหญ่เป็นมัน ถ้าเป็นเมืองหนาวจะตายในฤดูใบไม้ร่วงและจะงอกใหม่ในฤดูใบไม้ผลิ บางชนิดเหมาะจะปลูกในตะกร้าแขวน และสำหรับกลุ่มสุดท้าย Winter-flowering มีใบสีเขียวบรอนซ์ มีดอกในฤดูหนาว (ข้อมูลนี้จากhttp://www.botany.com/begonia.htm)

ลองไปค้นเว็บอื่นๆบางเว็บให้ข้อมูลว่าบิโกเนียมี species ได้มากกว่า 1400 ชนิด

Begonia (ถูกตั้งชื่อตาม M. Begon ผู้ให้การสนับสนุนด้านพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส) บิโกเนียอยู่ในจีนัสใหญ่ (Family Begoniaceae)มีประมาณ 350 species ในเขตร้อนชื้นโดยเฉพาะอเมริกาใต้และอินเดีย มีประมาณ 150 species เป็นที่รู้จักในการเพาะพันธ์และมีอีกมากมายนับไม่ถ้วนที่เป็นพันธุ์ผสม ใบจะมีลักษณะเบี้ยว ไม่สมมาตร (จาก 1911 encyclopedia..
http://www.fact-index.com/b/be/begonia.html )

Begonias ถูกจัดอยู่ใน division Magnoliophyta, class Magnoliopsida, order Violales , genus Begonia

อืมม์...ข้อมูลเยอะแยะ เริ่มเกิดอาการ Information overload ต้องไปอ่านเพิ่มแล้วมา update ใหม่อีกแล้วล่ะ




Sunday, August 29, 2004

โกมาซุม...ดอกไม้ประจำจังหวัดระนอง

อาทิตย์ที่ผ่านมา มีน้องไปเดินเที่ยวงานเกษตรที่หาดใหญ่ซื้อกล้วยไม้โกมาซุมมาฝาก เพราะเห็นว่าเป็นคนระนอง ความที่โกมาซุมเป็นดอกไม้ประจำจังหวัดระนอง แต่ในฐานะคนระนองก็ออกจะอายๆว่าไม่ค่อยเห็นต้นไม้นี้สักเท่าไร ได้มาก็เลยรีบค้นข้อมูลว่าตกลงทำไมอยู่ๆโกมาซุมถึงมามีความสำคัญกับเมืองระนอง

เริ่มจากชื่อ โกมาซุม ฟังเป็นภาษาญี่ปุ่น เกาหลีไปโน่น ไปค้นแล้วเจอว่า โกมาซุมมีชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ “ Dendrobium Formasum “ ซึ่งในเว็บไซต์จังหวัด บอกว่า “ที่มาของชื่อ โกมาซุม มาจากชาวอังกฤษคนหนึ่ง ชื่อ มิสเตอร์ สกอต ซึ่งเข้ามาทำเหมืองแร่ บริษัท ไซมิสติน ตำบลบางริ้น อำเภอเมือง จังหวัดระนอง ได้ตัดดอกไม้ชนิดนี้ ซึ่งพบในป่าแถบนั้น มาแขวนประดับไว้บริเวณบ้าน แล้วเรียกว่า “ ฟอร์ม มา ซ่อม ” คาดว่าคงเป็นการเรียก Species ของต้นไม้นี้ และคนไทยได้เรียกชื่อต่อ ๆ มาจนกลายเป็น “ โกมาซุม ” ในปัจจุบัน ด้วยความสวยงามของดอกโกมาซุม ซึ่งสามารถพบเห็นได้อย่างดาษดื่นในป่าของจังหวัดระนอง นายจำนง เฉลิมฉัตร ผู้ว่าราชการจังหวัดระนองในขณะนั้น จึงได้ประกาศให้ “โกมาซุม ”เป็นดอกไม้ประจำจังหวัด เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2536 ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา “

อืมม์....ก็มีเค้าอยู่บ้างเพราะสมัยก่อนมีฝรั่งมาทำงานในเหมืองแร่ระนองจริงๆถึงจะไม่มากนัก และโดยนิสัยฝรั่งที่สนใจต้นไม้ดอกไม้ คงหาต้นไม้มาประดับบ้าน เรื่องความเพี้ยนของชื่อนี้เคยเจอมากับตัวเองตอนที่ได้ต้นไม้จากพี่สาวที่ซื้อมาจากงานเดือนสิบ เขาบอกว่าดอกไม้นี้มาจากเมืองจันทบุรี ชื่อ ไซกามอน ฟังแล้วก็งงๆ ในที่สุดไปเจอที่ออสเตรเลีย บ้านที่ไปพักอยู่ปลูกต้นไซกามอนนี้ด้วย หน้าตาเหมือนกัน แต่ดอกใหญ่กว่ากันคนละเรื่องเลย และชื่อจริงๆคือ “ไซคลาเมน”

ลักษณะของดอกมีคำบรรยายว่า “มีลักษณะคล้ายกับดอกแคทลียา ซึ่งเป็นราชินีดอกกล้วยไม้ พบมากในป่าที่มีความชุ่มชื้นของจังหวัดระนอง โดยเฉพาะเขาน้ำตกหงาว บริเวณอำเภอเมือง ลักษณะลำต้น เป็นปล้อง ๆ เท่านิ้วชี้ เนื้อเยื่ออ่อน ๆ ใบบาง ๆ เรียวเล็ก สีเขียวอ่อนถึงแก่ แยกออกสองทาง โกมาซุมจะออกดอก ออกช่อสมบูรณ์สวยงามมาก ลักษณะดอก มีสีขาว มีสี่กลีบ กลีบใหญ่มีแต้มสีเหลืองอ่อนอยู่ตรงกลางบริเวณใกล้ลิ้น มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ บานอยู่ได้หลายวัน โดยจะออกดอกบานสะพรั่ง ในช่วงเดือน ตุลาคม ถึง ธันวาคม ของทุกปี” ( คัดมาจาก http://www.ranongprovince.com/komazum.htm )

ส่วนข้อมูลจากเว็บไซต์อุทยานแห่งชาติน้ำตกหงาว ( http://www.dnp.go.th/parkreserve/asp/style1/default.asp?npid=118&lg=1 ) บอกว่า โกมาซุม เป็นดอกไม้ประจำจังหวัดระนอง เป็นกล้วยไม้ชนิดหนึ่ง มีชื่อว่า “เอื้องเงินหลวง” ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Dendrobium formosum Roxb. ex Lindl. มีลักษณะคล้ายดอกแคทลียา กลีบสีขาว กลีบใหญ่จะมีแต้มสีเหลืองอ่อนอยู่ตรงกลาง ดอกจะมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ จะออกดอกในช่วงเดือนตุลาคม ถึงเดือนธันวาคม พบมากบริเวณป่าที่มีความชุ่มชื้นสูง โดยเฉพาะป่าที่น้ำตกหงาว

พอมาดูชื่อ Dendrobium formosum Roxb. ex Lindl. ก็เกิดความสงสัยต่อมาอีกว่าชื่อมันมีอะไรต่อท้ายกันนี่ แล้วดอกไม้นี้มันเป็นดอกไม้แถบบ้านเราหรือที่ไหนก็มี ลองไปค้นดูในข้อมูลของสวนพฤกษศาสตร์คิวของอังกฤษ ( http://www.rbgkew.org.uk/exhibitions/johnday/pages/jds_39_001.html ) พบว่า กล้วยไม้ชนิดนี้ถูกค้นพบโดย Mr. William Roxburgh ในทางภาคเหนือของอินเดีย ซึ่ง Mr. Roxburgh เป็นผู้ช่วยศัลยแพทย์ของบริษัท East India Company เมื่อปี 1776 แต่หลังจากนั้นได้เป็นนักพฤกษศาสตร์ประจำบริษัทอยู่ถึง 24 ปี Dendrobium formosum ถูกตั้งชื่อ 15 ปี หลังจากที่เขาเสียชีวิต โดยใช้ชื่อที่เขาตั้งไว้ กล้วยไม้นี้พบได้ทั่วไปในอินเดีย หมู่เกาะอันดามัน ประเทศไทย และเวียตนาม

และสงสัยต่อไปถึง “ex Lindl.” ว่าหมายความว่าอย่างไร วันหลังจะลองถามเพื่อนที่เล่นกล้วยไม้ดู แต่เท่าที่ค้นในอินเทอร์เน็ต พบชื่อคล้ายๆกันที่เกี่ยวกับกล้วยไม้คือ Linden ซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่มีความสำคัญในวงการกล้วยไม้ยุดรป ความหลงใหลเสน่ห์ของกล้วยไม้เริ่มต้นในยุโรปเมื่อประมาณปีค.ศ. 1818 ธุรกิจกล้วยไม้กลายเป็นธุรกิจใหญ่ ในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 ประเทศเบลเยี่ยมกลายเป็นศูนย์กลางการปลูกกล้วยไม้ Jean Linden (1817-1898) มีบทบาทในการค้นพบชนิดใหม่ๆหลายชนิด เขาได้ตั้งศูนย์เพาะต้นไม้ที่เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติที่กรุงบรัสเซลร่วมกับลูกชายและยังได้ตีพิมม์ "Lindenia - Iconographie des Orchidees" นิตยสารรายเดือนคุณภาพที่มีการออกต่อเนื่องถึง 17 ปี

เนื้อหาที่เกี่ยวข้องและรูปประกอบสวยๆจะหาอ่านเพิ่มเติมได้ที่
1. http://www.ranongprovince.com/komazum.htm
2.http://www.rbgkew.org.uk/exhibitions/johnday/pages/jds_39_001.html
3. http://www.school.net.th/library/create-web/10000/science/10000-854.html
4. http://www.sd.ac.th/student/jaturong/dendrobium.htm
5. http://www.orchidsonline.com.au/species401.html
6. http://www.shigitatsu.com/LINDENIAV1.htm

Tuesday, August 24, 2004

Calayan rail นกชนิดใหม่ของโลก

เมื่อวันที่ 16-17 สิงหาคม 2547 มีข่าวจากสื่อมวลชนหลายค่ายทั่วโลกออกข่าวเกี่ยวกับการค้นพบนกชนิดใหม่ของโลก บ้านเราไม่มีข่าวนี้เข้าใจว่าไม่ใช่ข่าวที่ประชาชนทั่วไปสนใจมากมายนัก จนได้ไปอ่านกระทู้ของนาย Borndecember ในเว็บไซต์ของ Savebird ถึงได้รู้เรื่องแล้วก็รีบไปอ่านดูรายละเอียดจากแหล่งข่าวอื่นๆ

ลองอ่านดูจาก เว็บไซต์ของ Birdlife International, CNN(ซึ่งได้ข่าวจาก Reuters) และ BBC รู้สึกว่าจาก BBC จะอ่านง่ายและรู้เรื่องที่สุด กล่าวโดยสรุปคือ นักวิจัยชาวฟิลิปปินส์และชาวอังกฤษได้พบนกชนิดใหม่ที่เกาะCalayan หนึ่งใน Babuyan Islands ทางตอนเหนือของฟิลิปปินส์ เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2547

ผู้ค้นพบนกชนิดนี้คือ Ms.Carmela Espanola หนึ่งในทีมผู้วิจัย โดยพบกลุ่มเล็กๆของนกสีน้ำตาลคล้ำปากและขาสีส้มสด มีขนาดใกล้เคียงกับกา อยู่ในป่าระดับความสูงประมาณ 1,000 ฟิต นกชนิดนี้ชาวเกาะเรียกว่า "piding" สันนิษฐานว่าจะยังมีนกชนิดนี้อยู่ราว 100 - 200 คู่
นกชนิดนี้ถูกตั้งชื่อว่า Calayan rail โดยใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Gallirallus calayanensis และถูกจัดอยู่ในกลุ่ม Vulnerable ในรายการของ IUCN Red List of threatened species

ตามข่าวบอกว่าเพื่อที่จะลงทะเบียนนกว่าเป็นสปีชี่ส์ใหม่ ทางคณะสำรวจต้องฆ่านกหนึ่งตัว และเมื่อผ่าดูภายในก็พบว่ากล้ามเนื้อที่ใช้เพื่อทำการบินของนกชนิดนี้อ่อนแอเกินกว่าจะรับน้ำหนักตัวถ้าต้องบินไกลๆ จึงสรุปว่าเป็นนกที่เกือบจะบินไม่ได้ ทั้งนี้นาย Richard Thomas จาก BirdLife International ได้ให้ความเห็นว่าถึงแม้จะไม่เคยเห็นนกชนิดนี้บินมาก่อนแต่อาจเป็นไปได้ที่นกชนิดนี้จะเหมือน Okinawa rail ซึ่งสามารถกระพือปีกได้ในลักษณะเหมือนไก่

ข่าวให้รายละเอียดต่ออีกว่าใน 20 สปีชี่ส์หรือซับสปีชี่ส์ที่สูญพันธุ์ไปนับตั้งแต่ปี 1600 ประมาณ 90% จะเป็นนกที่บินไม่ได้ นก Calayan rail นี้เป็นญาติกับ moorhen แต่ที่แตกต่างคือ Calayan rail บินไม่ได้และพบเฉพาะบริเวณเกาะที่มีการสำรวจพบเท่านั้น สมาชิกส่วนใหญ่ในตระกูล rail คือ นกน้ำ ถึงแม้ว่าในเขตร้อนของเอเชีย มีนกหลายชนิดอาศัยในป่าเช่นเดียวกับ Calayan rail

ในเว็บของ BirdLife International ได้ให้รายละเอียดการค้นพบไว้ด้วยว่าเมื่อคุณ Carmela ได้พบนกชนิดนี้ เธอทำการจดบันทึก ถ่ายภาพ และอัดเสียงร้องเอาไว้ วันรุ่งขึ้น Des Allen สมาชิกคนหนึ่งในทีมได้ไปที่จุดนั้นอีก เมื่อได้ยินเสียงนกก็ได้เปิดเทปที่อัดเสียงไว้เพื่อเรียกนกให้ออกมา ในวันนั้นเขาได้ทำการอัดวิดีโอไว้และได้ให้สมาชิกทีมคนอื่นๆได้ดูและช่วยกันสังเกตการณ์ ในแผนการวิจัยต่อไปได้วางโครงการหาสภาพที่อยู่อาศัย การกระจายตัวและประชากรของ Calayan Rail โดยจะทำงานร่วมกับชุมชนเพื่อลดสิ่งคุกคามต่อนกและสร้างวิธีป้องกันผืนป่าระยะยาว เป็นที่คาดหวังว่าการค้นพบครั้งนี้จะทำให้เกาะนี้ควรได้รับการตระหนักถึงความสำคัญในฐานะที่เป็นแหล่งที่มีความหลากหลายทางขีวภาพ

ข้อมูลจาก
1.http://edition.cnn.com/2004/TECH/science/08/17/environment.bird.reut/
2. http://news.bbc.co.uk/2/hi/science/nature/3569160.stm
3. http://www.birdlife.org.uk/news/news/2004/08/calayan_rail.html

รถไฟฟ้าใต้ดิน

วันนี้เพิ่งกลับจากกรุงเทพฯ เที่ยวนี้ได้เดินทางด้วยรถไฟใต้ดินหลายครั้ง พบว่ามีสิ่งดีๆสำหรับคนกรุงเทพฯเพิ่มขึ้นอีกอย่างแต่ก็ยังมีความไม่สะดวกที่มาพร้อมกัน ตัวอย่างเช่น เคาน์เตอร์ขายเหรียญสำหรับบางสถานีให้บริการไม่เพียงพอ เช่นที่จตุจักร(สถานีกำแพงเพชร) คนมหาศาลต้องต่อแถว 3 แถว ตู้แลกเหรียญที่ใช้เป็นบัตรผ่านมีน้อยในแต่ละสถานี แถมช่วงนี้ส่วนใหญ่ไม่ให้บริการมีเพียงบางเครื่องที่ใช้งานได้ บันไดเลื่อนของบางสถานีเช่น สุทธิสารเปิดใช้เฉพาะขาขึ้น ขาลงต้องเดินลงบันไดเองทั้งๆที่มีบันไดเลื่อนแต่ไม่เปิดทำการ ก็ว่ากันไปตามประสาเพิ่งเปิดทำการ ได้แต่หวังว่าต่อไปคงจะดีขึ้น

โดยส่วนตัวก็เลยสงสัยและอยากรู้เกี่ยวกับรถไฟใต้ดินของที่อื่นว่าเป็นยังไงบ้าง....
ประเทศแรกที่เริ่มใช้รถไฟใต้ดินคือประเทศอังกฤษ เมื่อปี 1863
รถไฟใต้ดินถูกสร้างให้อยู่ลึกลงไป..........ฟิต
ระบบปรับอากาศเป็นอย่างไร
ระบบรักษาความปลอดภัยเป็นอย่างไร


ชื่อเรียกรถไฟใต้ดิน/ลอยฟ้าของประเทศต่างๆ
ประเทศ                ชื่อ
อังกฤษ           underground, tube
อเมริกา,ฝรั่งเศส  subway
สิงคโปร์             MRT
ออสเตรเลีย     CityRail
ไทย                BTS/MRT

แล้วก็...ติดไว้ก่อนแล้วกัน จะมาค้นอีกที รีบเขียนไว้ก่อนกลัวลืม

ใน wikipedia ให้ข้อมูลว่า  นับถึงปี 2010 มีระบบรถไปใต้ดินประมาณ 160 metro systems ในโลกนี้  ระบบแรกคือ  London Underground ส่วนระบบที่มีระยะทางยาวที่สุดคือ Seoul Metropolitan Subway  ระบบที่มีสถานีและระยะรางมากที่สุดคือ New York City Subway 

 รถรน ตามประวัติรถรางไทยจากหนังสือ The modern tram way เล่มที่ 18 ฉบับที่ 212 ปี ค.ศ. 1955 

ได้ระบุว่าสยามมีรถรางไฟฟ้าวิ่งอยู่ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1893 ซึ่งนับว่าเป็นประเทศแรกในเอเซียที่มีรถราง

ไฟฟ้า กิจการรถรางได้ดำเนินกิจการมาจนถึงปี ค.ศ. 1968 ก่อนที่จะถูกยกเลิกไป รวมเวลา 75 ปี

Tuesday, August 17, 2004

Broadbill พญาปากกว้าง

วันนี้มีน้องชายร่างสูงหน้าตาดูดีมีตระกูล ขับรถจากกำแพงแสนมาเยี่ยมเยียนถึงถิ่นใต้ มาแบบมาดเท่สุดขีดกับการเดินเข้ามาพร้อมกับถือ Butterfly guide ฉบับ print เองเล่มโต ชายหนุ่มคนนี้ไม่ใช่เก่งเฉพาะเรื่องผีเสื้อ ความจริงเขาเก่งไปแทบทุกอย่าง ทั้งดูนก ถ่ายภาพ มีความอุตสาหะเป็นที่หนึ่ง ความสุภาพใจเย็นอีกต่างหาก มีหลายคนเต็มใจมอบชีวิตไว้ในมือของเขา ฟังดูโรแมนติกมากเลยนะคะ ไม่หรอกค่ะ ความจริงแล้วเขาเป็นหมอนะ

และที่เกี่ยวกับเรื่องที่จั่วหัวไว้เพราะหนุ่มคนนี้ใช้ชื่อในวงการว่า "ปากกว้างหางยาว" ครั้งแรกที่ได้ยินชื่อเขาฉันออกจะงงๆเพราะไม่เคยรู้ว่าปากกว้างหางยาวคืออะไร จนในที่สุดได้เจอตัวเป็นๆทั้งของชายหนุ่มคนนี้และพญาปากกว้างอีกหลายชนิด จบแล้วนะคะเรื่องของชายหนุ่มปากกว้างหางยาว มาดูปากกว้างของจริงกันดีกว่า

ปากกว้างเป็นชื่อนกค่ะ นกพญาปากกว้าง (Broadbill)เป็นนกชนิดหนึ่งพบได้ในป่าดิบชื้น อาจจะยากที่จะสังเกตเห็น เป็นนกกินแมลงและน้ำหวาน มีสีสันแปลกสวยงาม ในเมืองไทยพบได้ 7 ชนิด คือ
ฺ1. Banded Broadbill พญาปากกว้างท้องเหลือง
ฺ2. Black-and-Red Broadbill พญาปากกว้างท้องแดง
ฺ3. Black-and-ํำYellow Broadbill พญาปากกว้างเล็ก
4. Dusky Broadbill พญาปากกว้างสีดำ
5. Green Broadbill เขียวปากงุ้ม
6. Long-tailed Broadbill พญาปากกว้างหางยาว
7. Silver-breasted Broadbill พญาปากกว้างอกสีเงิน

เข้าไปอ่านในเว็บไซต์ต่างๆพบว่ามี Broadbill มากมายหลายชนิดในโลก แยกกันตามหลักได้แก่
Kingdom : Animalia
Phylum : Chordata
Class : Aves
Order : Passeriformes
Family : Eurylaimidae

Genus
Smithornis
Pseudocalyptomena
Corydon
Cymbirhynchus
Eurylaimus
Psarisomus
Serilophus
Calyptomena

1. African Broadbill, Smithornis capensis
2. Gray-headed Broadbill, Smithornis sharpei
3. Rufous-sided Broadbill, Smithornis rufolateralis
4. Grauer's Broadbill, Pseudocalyptomena graueri
5. Dusky Broadbill, Corydon sumatranus
6. Black-and-red Broadbill, Cymbirhynchus macrorhynchos
7. Banded Broadbill, Eurylaimus javanicus
8. Black-and-yellow Broadbill, Eurylaimus ochromalus
9. Wattled Broadbill, Eurylaimus steerii
10.Visayan Broadbill, Eurylaimus samarensis
11.Long-tailed Broadbill, Psarisomus dalhousiae
12.Silver-breasted Broadbill, Serilophus lunatus
13.Green Broadbill, Calyptomena viridis
14.Hose's Broadbill, Calyptomena hosii
15.Whitehead's Broadbill Calyptomena whiteheadi

ฉันเองเพิ่งเคยรู้จักนกพญาปากกว้างเมื่อปีที่แล้วนี่เอง นกตัวแรกที่เห็นคือ พญาปากกว้างเล็ก ที่เขาชอบเรียกกันว่านกการ์ตูนเพราะสีสันสดสวยของมันและท่าทางดูบ๊องแบ๊วน่าเอ็นดู นกชนิดนี้เป็นนกรับแขกของป่ากรุงชิง ใครไปใครมามักจะเจอทุกครั้ง มีเสียงร้องอันเป็นเอกลักษณ์ทำให้จำได้ง่าย
อีกตัวนึงที่ฉันได้เห็นในป่ากรุงชิงเช่นกันคือเขียวปากงุ้ม เป็นนกพญาปากกว้างขนาดเล็กน่ารัก ดูไม่เหมือนพญาปากกว้างทั่วไป สีเขียวสด เป็นนกที่ดึงดูดให้ birder เข้ามาเยี่ยมเยียนป่าแห่งนี้กันบ่อย

สำหรับที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เมืองหลวงของนกเมืองไทย ฉันได้เห็นพญาปากกว้างอกสีเงินและพญาปากกว้างสีดำ เป็นที่ประทับใจมาก ข่าวว่าที่นี่จะเป็นที่ที่สามารถพบพญาปากกว้างทั้งเจ็ดชนิดได้ครบ ก็ได้แต่หวังว่าสักวันคงจะได้กลับมาดูอีกครั้ง

หมายเหตุ : ข้อมูลส่วนหนึ่งเรียบเรียงจาก
http://www.webster-dictionary.org/definition/Broadbill


Monday, August 16, 2004

Salute !!! น้องอรในโอลิมปิค

โอลิมปิคเกมส์ครั้งนี้จัดขึ้นที่กรุงเอเธนส์ เรียกชื่อเป็น “Athens2004” พิธีเปิดอย่างเป็นทางการจัดขึ้นในวันศุกร์ที่ 13 สิงหาคม 2547 แต่ตรงกับเวลาบ้านเราช่วงดึกต่อเช้าของวันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม

กีฬาแรกที่ทำให้คนไทยจับตามองคือการแข่งขันยกน้ำหนัก โค้ชของไทยเป็นชาวจีน คืนวันที่ 14 เราได้เหรียญทองแดงเหรียญแรกจากกีฬายกน้ำหนักหญิงแล้ว สำหรับคืนนี้ วันอาทิตย์ที่ 15 ช่วงสองทุ่มเศษมีการถ่ายทอดสด กีฬายกน้ำหนักหญิงรุ่น 48 - 53 กิโลกรัม นักกีฬาของเรา อุดมพร พลศักดิ์ (Udomporn Polsak) หรือน้องอร สาวโคราชอายุ 23 ปี ทำเอาหัวใจคนดูจะวายเพราะลุ้นกันระหว่างประเทศไทยกับอินโดนีเซีย (ลิซ่า) สองประเทศ ท่า clean and jerk ช่างภาพจะจับกันอยู่ระหว่างนักกีฬาสองคนนี้ ไม่น่าเชื่อเลยว่าผู้หญิงน้ำหนักแค่ 52 กิโลกรัมสามารถยกน้ำหนักได้ถึง 125.5 กิโลกรัม จะเป็นลม! นักกีฬาอินโดนีเซียทำได้สูงสุดเพียง122.5 กิโลกรัม โดยน้ำหนักรวมที่น้องอรทำได้คือ 222.5 กิโลกรัมเมื่อรวมท่ายกน้ำหน้กทั้งสองท่า( snatch และ clean and jerk ) แล้ว และนั่นทำให้เธอได้เหรียญทอง เหรียญแรกของประเทศไทยในโอลิมปิคเกมส์ครั้งนี้!!!

น้องอรเกิดวันที่ 6 ตุลาคม 2524 ความสูง150 cm น้ำหนัก 52 กิโลกรัม เข้าโครงการจอมพลังดาวรุ่งมุ่งเอเชี่ยนเกมส์ ได้รางวัลหลายต่อหลายครั้ง ปีที่แล้วได้เหรียญทองในการแข่งขันชิงแชมป์โลกมาแล้ว ครั้งนี้เมื่อกลับมาถึงเมืองไทยอย่างน้อยจะได้เงินอัดฉีดเป็นล้านบาทจากภาครัฐ จะกี่ล้านก็ไม่รู้ ซึ่งดูแล้วก็สมควรแก่ความพยายามของเธอที่ฝึกฝนและความสามารถนำชื่อเสียงมาให้แก่ประเทศของเรา

ความน่ารักของน้องอรอยู่ที่ทุกครั้งในการเข้าสู่ลานยกน้ำหนัก เธอจะยกมือไหว้คณะกรรมการและผู้ชม เป็นเอกลักษณ์คนไทยจริงๆ แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดถึงความมุ่งมั่นของเธอจะอยู่ที่แววตาเมื่อเธอทำการยกน้ำหนัก ผู้หญิงคนนี้ สุดยอดจริงๆ

ในพิธีมอบรางวัลโคลัมเบียได้อันดับสาม อินโดนีเซียได้อันดับสอง นักกีฬาโอลิมปิคชุดนี้จะได้หรีดช่อมะกอกประดับผมด้วย

เวลาประมาณ 4 ทุ่มนิดๆ เสียงเพลงชาติไทยดังขึ้นในเอเธนส์เป็นครั้งแรกของโอลิมปิคครั้งนี้ แค่เพียงวันที่สองของการแข่งขันเท่านั้นเอง ขอร่วมร้องเพลงชาติด้วยคนค่ะ !

Sunday, August 15, 2004

การอบรมดูนก: จุดเริ่มต้นที่ดีของ birder ชาวไทย

อยากจะเริ่มดูนกจะทำอย่างไรดี? มีกระทู้ลักษณะนี้บนเว็บบอร์ดเกี่ยวกับเรื่องนกเสมอ เป็นคำถามที่เมื่อฉันเริ่มต้นดูนกก็ถามตัวเองและคนดูนกรอบข้างเพื่อขอความรู้ หลังจากดูนกมาแล้วสองปีและมีโอกาสได้ไปอบรมดูนกที่สวนรถไฟเมื่อเดือน 10-11 กรกฎาคม 2547 ฉันก็คิดว่านี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของการดูนก ขอเล่าบรรยากาศการอบรมให้ฟังแล้วกันนะคะ

การอบรมความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสำหรับประชาชนเป็นโครงการของกรุงเทพมหานครร่วมกับชมรมต่างๆเพื่อเปิดอบรมให้ประชาชนทั่วไปฟรี มีทั้งอบรมดูนก อบรมดูผีเสื้อ ที่ฉันเข้าไปรับการอบรมเป็นการอบรมการดูนก รุ่นที่ 46 จัดขึ้นวันที่ 10-11 กรกฎาคม 2547 เป็นรุ่นสุดท้ายของปีนี้

เนื้อหาที่อบรมน่าสนใจมาก เริ่มต้นชั่วโมงแรกด้วยการเปิดประตูสู่โลกของนก วิทยากรคือคุณสุธี ศุภรัฐวิกรจะมาให้ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับนก อธิบายลัษณะโครงสร้างร่างกายของนก เช่นมีลักษณะใดที่บอกว่านี่คือนก สิ่งที่เราดูกันทั่วไปคือ ปาก ขนนก ขาและนิ้วเท้า ปีก หาง เราสามารถดูลักษณะย่อยแล้วบอกถึงลักษณะความเป็นอยู่ของนกนั้นๆได้

ถัดไปเป็นเรื่องของการสเก็ตภาพนกในธรรมชาติ(ตารางเวลาเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยเพราะปรับเปลี่ยนตามเวลาของวิทยากรที่มาบรรยาย) โดยคุณพรเลิศ ละออสุวรรณ ความจริงวิทยากรของเราทำงานด้านเทคนิค แลทำงานเกี่ยวกับด้านพลังงานทดแทนอะไรซักอย่าง แต่มีฝีมือในการสเก็ตภาพมาก และมีอารมณ์ขันเหลือเฟือ คลาสนี้สนุกสนานน่าสนใจมาก เริ่มจากวิธีการจดบันทึก แล้วมาพูดถึงอุปกรณ์สเก็ตภาพซึ่งได้แก่ กระดาษ(สมุดไม่มีเส้น) ดินสอ ปากกาไม่ละลายน้ำ และสี วิทยากรเอาตัวอย่างอุปกรณ์พวกจานสีและสีมาให้ดู เห็นแล้วอึ้งเพราะขนมามากมาย บางอันก็ดูดีมีสกุลรุนชาติมาก ในขณะที่บางเซ็ตน่ารักจนไม่อยากใช้ จากนั้นก็แนะนำวิธีและเทคนิคการวาดภาพ เรื่องรูปทรง แสงและเงา เทคนิคแพรวพราวมาก ฉันลองวาดตามในชี้ตอย่างสนุกสนาน จนถึงเวลาพักเที่ยง ไปกินข้าวกับเพื่อนใหม่ที่เจอกันในห้องอบรมนั่นเอง การมาอบรมแบบนี้ก็ดีอย่างนี้แหละ อย่างน้อยเราก็รู้ว่าคนที่มามีความชอบเหมือนเรา

ภาคบ่ายมีคลาสเรื่องชีวิตนกในธรรมชาติ โดยคุณพินิจ แสงแก้ว มีประสบการณ์มาเล่ามากมาย ฟังเพลินไปเลย เรื่องชีวิตประจำวันของนกตั้งแต่เรื่องการใช้เท้า การใช้ปีก เสียงร้อง การหากิน การพักผ่อน การทำความสะอาดขน จากนั้นก็เรียนเรื่องชีวิตในรอบปีของนกที่จะมีนกลักษณะประจำถิ่น นกอพยพย้ายถิ่น

หัวข้อสุดท้ายของวันแรกคือเรื่องแหล่งที่อยู่อาศัยของนก มีคุณเทวัญ วิไลนิรันดร์เป็นวิทยากร ช่วงนี้ก็น่าสนใจเพราะได้ความรู้เพิ่มเกี่ยวกับแหล่งและเวลาที่จะเจอนก

วันที่สองเป็นการเรียนภาคปฎิบัติ มีการแบ่งกลุ่มออกไปดูนก กลุ่มละ5-6 คน มี bird leader คนหนึ่งเป็นคนนำถือสโคปและคอยชี้นกให้ดู กลุ่มของฉันได้ leader น่ารักชื่อคุณธงชัย ศิริพร ชื่อเล่นรู้สึกจะชื่อคุณโป้งมั๊ง ไม่ค่อยแน่ใจ เป็น leader แบบเงียบๆ ใจดี ยิ้มตลอดกาล กลุ่มเราได้เห็นนก 25 ชนิด เดินดูตั้งแต่ 7 โมงครึ่งจน 11 โมง แล้วมีคุณ อรรจน์ เกษมมาสรุปให้ฟัง

โดยรวม การอบรมลักษณะนี้เป็นประโยชน์มาก เพราะทำให้เรามีพื้นฐานในการดูนก ไม่ใช่อยู่ๆก็จับกล้องส่องนก ดูตามหนังสือไปเรื่อยๆ ซึ่งความจริงก็ทำได้ แต่ทางนี้เป็นทางเรียบๆง่ายๆเป็นพื้นฐานที่ดี แล้วทำไมจะไม่ละคะ?

Saturday, August 14, 2004

ดูดาวในคืนไฟดับ

เพิ่งรู้สึกตัวว่าไม่ได้ดูดาวมานาน ปกติก็ไม่ได้ดูเป็นชิ้นเป็นอัน แต่อย่างน้อยๆพอจะมีโอกาสมองดูฟ้าในคืนฟ้าใสไม่มีเมฆและได้ชื่นชมกลุ่มดาวที่ชอบอยู่บ้าง ไม่รู้ตัวเลยว่าโอกาสอย่างนั้นครั้งล่าสุดมันก็นานมาแล้ว คืนนี้มีโอกาสได้ดูดาวอย่างที่ชอบโดยไม่ได้ตั้งใจ

คืนวันศุกร์ใครๆก็ออกไปกินข้าวกับเพื่อนกันทั้งนั้น ไปด้วยคนซิ...ไปไกลถึงในเมืองโน่นแน่ะ เพื่อนฝูง 7 คน นั่งคุยตั้งแต่นั่งในร้านอาหารจนไปจบที่ร้านกาแฟ ตั้งแต่เย็นยันเที่ยงคืน(คาดว่าจะรอให้รถกลายเป็นฟักทองก่อนค่อยกลับบ้าน) คุยกันเหมือนไม่ได้เจอกันนานแสนนานทั้งๆที่ทำงานอยู่ที่เดียวกัน กินข้าวด้วยกันแทบทุกวัน ในที่สุดได้เวลากลับบ้าน กลับถึงบ้านเที่ยงคืนเศษ ยังไม่ได้นอน มัวแต่เข้ามาเล่นเน็ต เล่นไปเล่นมา...ตีสอง ยังไม่อยากนอน ดู VCD อีกนิด กำลังง่วงได้ที่ตั้งใจจะหลับไฟก็ดับพรึ่บ !!!

ทีแรกยังงัวเงียคิดว่าเป็นแค่ไฟทีวีที่ตั้งเวลาไว้ แต่เอ๊ะ...มันมืดหมดเลย ข้างนอกตึกก็มืด ไฟถนนก็ไม่มี อืมม์..อย่านะ กลัวนะ อย่าเล่น..บ่นไปก็ไม่มีประโยชน์ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนอีกแล้ว เดินกุกๆกักๆไปหาไฟฉาย หาเทียน แล้วจุดเทียน5-6 แท่งวางเต็มบ้านไปหมด โรแมนติกเหลือเกิน ดูนาฬิกา ตีสองครึ่ง! แย่แล้วทำไงดี... มีพี่ชายคนนึงแกนอนดึก บางทีก็ไม่ดึก สว่างเอาเลย คาดว่าคืนนี้แกยังไม่นอน โทรไปหาดีกว่าจะได้มีคนคุยระหว่างไฟดับ เจ้ากรรม คืนนี้ดันเป็นคืนที่พี่แกนอนเร็ว โทรไปเจอเสียงงัวเงียๆ โดนด่าอีกแน่เลยเรา วางหูดูจะปลอดภัยกว่า...

ทำไงดี จะนอนก็ไม่ได้ อ่านหนังสือ ดูทีวีก็ไม่ได้ เหลืออย่างเดียวที่ทำได้ตอนนี้คือออกไปดูดาว ว่าแล้วก็เดินออกไปที่ระเบียง มองไปแล้วก็ตะลึงเพราะคืนนี้ดาวเต็มฟ้าไปหมด ไม่มีเมฆเลย ไม่มีไฟถนนมาส่องตา ดาวดวงเล็กดวงน้อยก็มีโอกาสมาอวดโฉมกันจนลานตา

ระเบียงห้องฉันหันไปทางทิศเหนือพอดี จะมองเห็นดาวเหนืออยู่ตรงหน้า ไม่สว่างนักสูงจากพื้นดินประมาณ 14 องศา เวลาเกือบตีสามของวันที่ 14 สิงหาคม มองไปตรงหน้าจะเห็นดาวค้างคาว(Cassiopeia)เป็นตัว M ใหญ่ชัดเจน ข้างใต้มีกลุ่มดาวเซเฟอุส(Cepheus) ทางขวาของแคสซิโอเปียมีกลุ่มดาวเปอร์เซอุส(Perseus)ฟ้าใสจนเห็นดาวเมอร์แฟคที่เป็นสะดือของเปอร์เซอุสได้ชัดเจน(ความจริงเมอร์แฟคแปลว่าข้อศอก)จากระเบียงจะมองไปได้ไม่เต็มฟ้าเพราะถูกมุมตึกและหลังคาบังอยู่ มองไปทางซ้ายมือไกลออกไปจะเห็นกลุ่มดาวหงส์ กับดาววีกา มองไกลไปทางขวาจะเห็นกลุ่มดาวสารถีกำลังขึ้นเห็นดาวคาเพลล่าชัดเจน มองสูงขึ้นอีกนิดก็เจอกระจุกดาวลูกไก่ ฟ้ามืดขนาดนี้เห็นทางช้างเผือกพาดผ่านกลุ่มดาวแคสซิโอเปีย เปอร์ซีอุสไปทางคาเพลล่า ....โกโบริจะรู้จักดาวพวกนี้บ้างไหม หรือจะดูดาวแต่เฉพาะวันที่ 7 เดือน 7 ที่นัดกับอังศุมาลินไว้...

ลมเย็น...ดาวสวย...ยืนดูดาวได้พักนึงก็มีลูกไฟวูบกลางท้องฟ้า ดาวตกดวงโตวิ่งผ่านแคสซิโอเปีย วิ่งเร็วจนอธิษฐานไม่ทัน...คอยอีกครู่นึง ดวงที่สองตามมาอีก สีส้มจางๆสวยจัง... ดูแล้วนึกถึงเพลงประกอบภาพยนต์ Aladdin
" I am like a shooting star
I come so far
I can't go back to where I used to be..."

แล้ว..ไฟฟ้าก็กลับมาทำหน้าที่ ตีสามสิบนาทีโดยประมาณ เสียดายนิดๆที่ไม่ได้ได้ดูดาวต่อ เพราะเมื่อไฟถนนทำงาน แสงจะกลบแสงดาวจนมองไม่ชัด ฉันกลับมาเขียนความประทับใจเล็กๆน้อยๆใน blog นี้ เขียนได้3-4 ย่อหน้าก็เดินออกไปดูดาวอีก เพิ่งพบด้วยความประหลาดใจว่าขอบฟ้าทางทิศตะวันออกมีดาวสุกใสสว่างมาก สว่างกว่าดาวทุกดวงบนท้องฟ้า ดูระยะแล้วน่าจะอยู่ประมาณกลุ่มดาวคนคู่ เป็นดาวประกายพรึกดวงโปรดของฉันนั่นเอง ไม่ได้เห็นตอนเย็นๆมาพักใหญ่มาแอบเป็นดาวตอนเช้าก็ไม่บอก ทำให้งง...

ตีสี่สิบนาที....หมดเวลาโรแมนติกแล้วล่ะ...

Thursday, August 12, 2004

Angles & Demons : ความสนุกสนานบนข้อเท็จจริง

(ต่อจาก Angles & Demons : เรื่องย่อ ) ด้วยพล็อตเรื่องที่ว่ามา หนังสือเรื่องนี้กลับมีเนื้อหาที่อัดแน่นด้วยข้อมูลต่างๆจนคนอ่านเองไม่แน่ใจว่าควรจะเชิ่อว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่เพราะมันสมจริงมาก หมายเหตุผู้เขียนระบุว่าผลงานศิลปะ อุโมงค์และสถาปัตยกรรมทั้งหมดที่อ้างถึงในกรุงโรมรวม(ทั้งตำแหน่งที่ตั้ง) เป็นข้อเท็จจริงทั้งสิ้น กลุ่มภราดรอิลลูมิเนติก็เป็นข้อเท็จจริงเช่นกัน หนังสือเล่มนี้ให้ภาพแผนที่กรุงโรมและนครวาติกันมาประกอบเรื่อง เห็นแล้วก็ได้แต่บอกกับตัวเองว่าสักวันหนึ่งจะต้องไปเดินตามรอยสถานที่เหล่านี้เพื่อพิสูจน์ความจริง ( หนังสือรหัสลับดาวินซี มาในแนวเดียวนี้เหมือนกัน อัดแน่นด้วยข้อเท็จจริงในเนื้อหาและสถานที่ตั้ง จนผู้อ่านบางคนอาจเกิดความฝันลอยๆว่าสักวันน่าจะไปตามรอยดาวินซีที่ปารีสกับอังกฤษบ้าง) สิ่งที่รู้สึกอีกอย่างหนึ่งหลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้คือ อยากอ่านฉบับภาษาอังกฤษเหลือเกิน เพราะบทสนทนามีการเล่นคำอยู่หลายครั้ง การเล่นคำบางเรื่องต้องขอบคุณผู้แปลที่มีหมายเหตุและระบุคำภาษาอังกฤษมาด้วยทำให้ตามความหมายของคำได้ แถมบางคำที่เขาใช้โดยส่วนตัวก็ไม่เข้าใจการเล่นคำนั้นๆ (คาดว่าถ้าอ่านฉบับภาษาอังกฤษคงต้องมีฉบับแปลอ่านควบคู่ในบางตอน) อย่างเช่น การเล่นคำ NO GUT, NO GLORY ที่เป็นลายพิมพ์บนเสื้อคนในเซิร์นคนหนึ่ง ที่อาจแปลว่า “ไร้กึ๋นก็ไร้เกียรติ” แต่สำหรับที่เซิร์น GUT คือ General Unified Theory (ทฤษฎีเอกภาพที่สมบูรณ์) เป็นการเล่นคำที่เก๋มากเล่นทั้งศัพท์ปกติล้อเลียนทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ หรืออย่างการเอากระดาษแปะบนเสาต้นหนึ่งแล้วเขียนว่า “เสาต้นนี้เป็นไอออนิก” ไออนนิกสำหรับนักเรียนศิลปะคือรูปแบบของเสาทรงกรีกแบบหนึ่ง พระเอกจึงบอกว่าเสาต้นนี้ไม่ใช่ทรงไอออนิก เป็นทรงดอริกต่างหาก แต่สำหรับคนทางวิทยาศาสตร์ย่อมเข้าใจเสมอว่าไอออนิกคือการที่มีไอออนอยู่ ซึ่งหมายความว่าเสาต้นนั้นมีอนุภาคประจุไฟฟ้าอยู่นั่นเอง เรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับศาสตร์สัญลักษณ์ในเรื่องนี้ก็มีมากมาย เช่น แอมบิแกรม - คำว่า illuminati สามารถเขียนในรูปสมมาตรหรือแอมบิแกรม แอมบิหมายถึง ทั้งสอง หมายถึงอ่านได้ทั้งสองด้าน กลับหัวกลับหางได้ ตัวอย่างรูปสมมาตรที่พบเห็นทั่วไปได้แก่ ตราสวัสดิกะ หยินหยาง ดวงดาราแห่งยิว กากบาทธรรมดา เป็นต้น ในเว็บเพจหน้าหนึ่งในเว็บไซต์ของแดน บราวน์ จะมีลิงก์ไปที่เรื่องนี้ http://www.danbrown.com/secrets/ambigram.html เรื่องนี้มีการเหน็บแนมชาวอเมริกันในเรื่องหลงตัวเองอย่างน่าสนุก เช่น พระเอกชาวอเมริกันของเราข้องใจว่าทำไมผู้ติดต่อจากเซิร์นจึงสามารถหาข้อมูลเบอร์โทรศัพท์ของเขาได้จากการค้นเว็บ ทั้งๆที่เขาไม่ได้ใส่เบอร์โทรศัพท์ติดต่อไว้ในเว็บเพจ “ฟังเหมือนห้องทดลองของคุณรู้เรื่องเว็บมากนักงั้นแหละ” “ก็สมควรอยู่” ชายคนนั้นตอบกลับ “เราเป็นผู้คิดค้นมันขึ้นมาเอง” ฟังดูแปลกแต่เป็นความจริงที่คนทั่วไปมักคิดว่า WWW ถูกคิดค้นโดยคนอเมริกัน(เพราะปัจจุบัน W3C ซึ่งเป็นองค์กรดูแลด้านเว็บมีสำนักงานอยู่ในอเมริกา) จริงๆแล้ว WWW ถูกคิดค้นโดยเซอร์ ทิม เบอร์เนอร์ส ลี ชาวอังกฤษในขณะที่ทำงานอยู่ที่เซิร์น การเหน็บแนมอีกเรื่องที่น่าสนใจคือการที่ทฤษฎีบิ๊กแบงค์ถูกเข้าใจว่าเป๋นการนำเสนอโดยEdwin Powell Hubble นักดาราศาสตร์ชาวอเมริกัน พระเอกของเราก็เข้าใจเช่นนั้น เมื่อวิตโตเรียนางเอกสาวนักฟิสิกส์ชีวสัมพันธ์กล่าวว่า คริสตจักรคาทอลิกเป็นผู้นำเสนอทฤษฎีบิ๊กแบงค์ โดยนักบวชคาทอลิกชาวเบลเยี่ยมชื่อ Goerges Edouard Lematre ในปี 1927 แลงดอนก็อดไม่ได้ที่จะแย้งจนผู้อำนวยการของเซิร์นในเรื่องอดไม่ได้พูดว่า "เอาอีกแล้วซี ความเย่อหยิ่งทางวิทยาศาสตร์ของชาวอเมริกันนี่ ฮับเบิลตีพิมพ์เรื่องนี้เมื่อปี 1929 สองปีหลังจากเลอแมตร์" ความจริงถ้าเราลองอ่านหนังสือหลายๆเล่มก็จะพบว่าฮับเบิลเป็นเพียงผู้ยืนยันสมมติฐานนั้น นอกจากนี้ยังมีข้อมูลต่างๆที่น่าสนใจอีก เช่น ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกลุ่ม องค์กรที่น่าสนใจ illuminati และ Mason CERN วาติกัน ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถาปัตยกรรม ผลงานศิลปะในเรื่อง Santa Maria Del อืมม์..post ก่อนล่ะ ไว้ค่อยมา update แล้วกันนะ

Angles & Demons : เรื่องย่อ

วันนี้ขอแซงเรื่องนกมาเป็นหนังสือที่ชอบมากเรื่องล่าสุด เพิ่งตะลุยอ่านจนจบเมื่อเช้านี้เอง หลังจากอ่านมาค่อนคืน อ่านจบด้วยความทึ่งในไอเดียคนแต่ง และก็บอกตัวเองว่า ไม่ได้แล้วต้องบันทึกไว้หน่อยว่าหนังสือเล่มนี้พิเศษตรงไหน Angles & Demons เป็นหนังสือขายดีของ Dan Brown ที่ถูกจั่วหัวว่าเป็น Unputdowntable Mystery อีกเรื่องหนึ่ง ภาคภาษาไทยใช้ชื่อว่า “เทวากับซาตาน” แปลโดย อรดี สุวรรณโกมล และอนุรักษ์ นครินทร์ พิมพ์ครั้งแรก กรกฎาคม 2547 โดยแพรวสำนักพิมพ์ เป็นหนังสือในเครืออมรินทร์ หนา 601 หน้า ราคา 345 บาท ปกสีแดง มีชื่อเรื่องเป็นอักษรเขียนแบบโบราณในลักษณะที่พยายามทำให้เป็นทรงสมมาตร มีอักษรจางๆคำว่า illuminati เขียนในลักษณะแอมบิแกรม ภาพฉากหลังเป็นภาพตัดต่อปฏิมากรรมเห็นเป็นรูปคนหรือเทวทูตกำลังถือไม้คทาแปะอยู่ที่มุมปกทั้ง 4 ด้าน หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องแรกในซีรี่ส์ที่มีพระเอกชื่อ โรเบิร์ต แลงดอน ผู้เป็นศาสตราจารย์ด้านศาสตร์สัญลักษณ์แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด แต่ในบ้านเราได้อ่านเรื่องนี้เป็นเล่มที่สองต่อจาก “รหัสลับดาวินซี” (The Da Vincci Code) นัยว่าเรื่องรหัสลับดาวินซีโด่งดังกว่า ความจริงยังมีหนังสือนวนิยายแนวลึกลับแบบนี้ของ แดน บราวน์อีก 2 เล่มคือ Deception Point และ Digital Fortress รายละเอียดหาอ่านเพิ่มเติมได้ใน http://www.danbrown.com/novels/index.html ในความเห็นส่วนตัว ชอบเรื่อง Angles & Demons มากกว่า The Da Vincci Code อาจเป็นเพราะเพิ่งอ่านจบยังมีความประทับใจอยู่อย่างมากหรืออาจเป็นเพราะไบแอสส่วนตัวที่ชอบเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานทำงานด้านวิทยาศาสตร์อย่างเซิร์นและองค์กรใหญ่ยักษ์อย่างคริสตจักร และเรื่องราวส่วนใหญ่ดำเนินเรื่องในกรุงโรมและวาติกันเปรียบเทียบกับ The Da Vincci Code ที่เป็นเรื่องราวส่วนใหญ่ดำเนินเรื่องในปารีสและอังกฤษ แต่ทั้งสองเรื่องสะเทือนแนวคิดในศาสนาคริสต์อย่างน่าตื่นเต้น เนื้อเรื่องโดยย่อของ Angles & Demons มีอยู่ว่า พระเอกของเรื่องคือ ศาตราจารย์หนุ่มโรเบิร์ต แลงดอน นักวิชาการด้านศาสตร์สัญลักษณ์จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด บอสตัน อเมริกา ถูกตามตัวให้ไปช่วยแก้ปัญหาฆาตกรรมที่เกิดขึ้นที่เซิร์น ศูนย์วิจัยนิวเคลียร์ฟิสิกส์ที่เจนีวา สวิสเซอร์แลนด์ เหยื่อฆาตกรรมเป็นอัจฉริยะนักวิจัย ถูกฆ่าและนาบไฟประทับตรา Illuminati บนหน้าอก จุดประสงค์การฆ่าเพื่อขโมยปฏิสสารอำนาจทำลายล้างสูงที่เพิ่งถูกค้นพบ ปฏิสสารนั้นถูกพบว่าไปวางซ่อนไว้มุมหนึ่งในมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ นครวาติกัน โดยมองเห็นจากกล้องวงจรปิดแต่ไม่สามารถหาตำแหน่งของกล้องได้ เงื่อนเวลาคือการที่ปฏิสสารนั้นถูกตั้งเวลาป้องกันการระเบิดไว้เพียง 24 ชั่วโมงถ้าถูกนำออกจากที่เก็บ นางเอกเป็นลูกสาวของเหยื่อฆาตกรรมและเป็นผู้มีส่วนในการคิดค้นปฏิสสารนั้น พระเอกและนางเอกร่วมกันเดินทางไปที่วาติกันและเผชิญสถานการณ์ที่คริตจักรกำลังปั่นปวนเพราะสันตะปาปาเพิ่งถูกฆาตกรรมเมื่อสิบห้าวันที่แล้วและในวันนั้นเป็นวันที่มีพิธีคัดสรรสันตะปาปาองค์ใหม่ หากปฏิสสารเกิดระเบิดขึ้นมา วาติกันจะถูกทำลาย การก่อการร้ายครั้งนี้เป็นการทำงานของกลุ่มอิลลูมิเนติ (Illuminati) กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ฝั่งตรงข้ามคริสตจักรที่มีประวัติถูกคริสตจักรทำลายล้างไปเมื่อหลายศตวรรษก่อน ครั้งนี้เป็นปฏิบัติการล้างแค้นคริสตจักร กลุ่มอิลลูมิเนติจับตัวพระคาร์ดินัลตัวเก็งสันตะปาปาองค์ใหม่ไปเป็นเหยื่อการล้างแค้น 4 รูป โดยมีการระบุเวลาและสถานที่ที่จะทำการฆ่า เรื่องราวดำเนินไปในการไล่ล่าเพื่อหยุดยั้งฆาตกรรมนั้นแต่ปมปัญหาคือสถานที่ที่ถูกระบุมาเป็นเพียงคำพูดไม่เจาะจงพระเอกต้องอาศัยความสามารถในการวิเคราะห์ตีความแล้วติดตามไปยังสถานที่เหล่านั้น เรื่องราวตื่นเต้นขึ้นเป็นลำดับ จนมาถึงไคลแมกซ์ในตอนสุดท้ายที่จบเรื่องได้อย่างหักมุมและสวยงาม

Wednesday, August 11, 2004

นกนอกหน้าต่าง

ความจริงควรจะเล่าเรื่องตามลำดับเช่น เริ่มต้นดูนกยังไง แหล่งไหนที่ควรจะเข้าไปดูข้อมูล หรืออื่นๆ แต่ไม่มีเวลาหาข้อมูลตอนนี้ ที่อยากจะเขียนถึงตอนนี้คือเรื่องของนกที่มองเห็นจากห้องของตัวเอง จะได้เก็บเป็น record เอาไว้

ที่ทำงานก่อนแล้วกัน... ที่ทำงานเป็นห้องประมาณ 3 x 5 เมตร มีหน้าต่างบานใหญ่ 2 บานมองออกไปนอกตึกได้ มีระเบียงเล็กๆขนาดครึ่งเมตรอยู่นอกห้องต้องปีนหน้าต่างถึงจะออกไปได้ ปกติจะวางกระถางดอกไม้บนกำแพงระเบียงมีพวก ระฆังทอง แว็กซ์บิโกเนีย ฟิโลมะละกอ หนุมานนั่งแท่น กุหลาบเมาะลำเลิง เศรษฐีก้านทอง วาสนา และต้นเล็กต้นน้อยตามแต่โอกาส ห้องอยู่ชั้นสองของตึก ชั้นล่างมีต้นรำเพยปลูกเป็นแนวขนานกับตึก 4 ต้น ปลูกมา 5-6 ปีแล้ว ต้นสูงจนมองเห็นใบเขียวๆดอกเหลืองสดของรำเพยได้

ปกตินกที่มองเห็นจะเป็นนกทั่วไปเช่น นกเอี้ยงสาริกา นกกางเขนบ้าน นกเขา แต่นกที่จะเห็นแบบใกล้ชิดที่สุดคือนกกินปลีอกเหลือง Olive-backed Sunbird เพราะมันจะมากินน้ำหวานดอกรำเพยทุกวัน อยู่กันเป็นฝูงทั้งตัวผู้ตัวเมีย บินไปบินมาน่ารักมาก ที่พิเศษคืออาทิตย์ที่แล้วเพิ่งเห็นนกพวกนี้มาเกาะที่ต้นกุหลาบเมาะลำเลิงที่ระเบียงทีละ 5-6 ตัว ซึ่งปกติไม่เคยมีมากขนาดนี้ จะหลงมาก็แค่ตัวสองตัว เจอนกมาเยี่ยมเยียนระยะใกล้ขนาดนี้ออกจะดีใจ นั่งหลบคอมพิวเตอร์แอบดูเค้าอยู่พักนึง เป็นนกที่ชอบมากเพราะตัวเล็กๆน่ารัก ท้องสีเหลืองสด ปากเล็กยาว บินไว ดูแล้วรู้สึกกระฉับกระเฉง

ที่บ้าน...หอพัก....จะมองเห็นนกจากระเบียงห้องเช่นกันโดยเฉพาะตอนเช้า นกที่เห็นบ่อยก็มี นกเขาชวา นกเขาหลวง นกตะขาบทุ่ง นกกระจอกบ้าน นกกระจอกตาล นกตีทอง นกกระเต็นอกขาว นกปรอดหน้านวล นกกระติ๊กตะโพกขาว นกยางควาย นกยางกรอก นกยางเปีย นกกระจิบ นกเอี้ยงหงอน และที่ขาดไม่ได้คือนกเอี้ยงสาริกา นอกจากอยู่ตามบริเวณนอกบ้านแล้วก็ยังมาเยี่ยมเยียนที่ระเบียงห้องเสมอเพราะฉันมีอ่างเลี้ยงปลาหางนกยูงซึ่งนกเอี้ยงก็คิดว่านั่นเป็นอ่างอาบน้ำของมัน เอางั้นก็ได้..... มันจะมาอาบน้ำจนน้ำกระจายเลอะระเบียง....แล้วมันก็ทำเสียงเยาะเย้ยก่อนจะบินไปหาอะไรกินที่อื่นต่อไป...

Tuesday, August 10, 2004

Singing Blue Jay Start Up

วันนี้เป็นวันแรกที่เริ่มเขียน blog ความจริงเห็นมาพักนึงแล้ว แต่รู้สึกว่าการเขียน blog ค่อนข้างจะเป็นการเร่งตัวเองให้ "ต้อง" เขียนอะไรซักอย่าง(ทั้งๆที่บางครั้งไม่พร้อมที่จะเขียน)

วันนี้กุ๊ก(หนุ่มน้อยหน้าใส ตัวใหญ่และหัวใจสีทอง)ส่ง blog ของตัวเองมาให้ดู ก็เลยเห็นว่าสมควรแก่เวลาเสียทีที่เราควรจะเริ่มการเขียนอย่างจริงจัง

คราวนี้....จะเขียนเกี่ยวกับอะไรดีน้า....
นึกไปนึกมา น่าจะเป็นเรื่องที่เพิ่งเริ่มต้นและยังสนใจจะทำต่อไป เรื่อง "นก" น่าจะเหมาะสมที่สุดในการเริ่มเขียน blog ตกลงจะเริ่มจากจุดนี้แล้วกัน

ตอนนี้...ยังไม่ว่างเขียนค่ะ...คนเราก็ต้องทำงานกันบ้างนะ เอาแค่สมัครไว้ก่อนนะ เดี๋ยวจะมา update :-)

4 กุมภาพันธ์ 2557
มาเพิ่มเติมไว้ว่าวันที่เริมใช้ Facebook  คือวันที่ 22 กรกฎาคม 2008.
บล็อกนี้เริ่มเขียน 10 สิงหาคม 2004