Thursday, November 24, 2016

#บันทึกตลาดสด...แบบไม่ชำนาญการ : ราคาอาหาร

1 ธันวาคม 2558




สามสี่ปีมานี้ได้เดินตลาดสดแทบทุกวัน การเดินตลาดสดก็ดีที่ได้อาหารสดๆจริง หลังจากต้องทำอาหารเองทุกวันมาระยะหนึ่งก็พบว่าชีวิตที่ต้องกินอาหารกล่อง อาหารกระป๋อง อาหารปรุงแต่งที่เคยเป็นมาเมื่อหลายปีก่อนมันดูน่าสงสารไปนะ ในเมื่อเราสามารถหาของสดๆใหม่ๆ เลือกได้ ปรุงรสชาติเองได้
แต่การเดินตลาดแบบผู้ไม่ชำนาญการก็มีอาการประมาณว่า เราจะซื้อของแบบนิ่งๆไงคะ เอาราคารวมมาเลย ไม่เคยถามราคาว่าของแต่ละอย่างราคาเท่าไร เพราะคิดว่ายังไงก็ถูกกว่าซื้อในซุปเปอร์มาร์เกต มีวันนี้แหละ ลองถามราคาแม่ค้าว่า ผักกาดเขียว ผักกาดขาวราคาเท่าไร ได้คำตอบว่า กิโลละ 35 และ 40 บาท ตามลำดับ แล้วคึ่นช่ายราคาเท่าไรคะ ขีดละ 15 บาท แอร๊ยย กิโลละ 150 เลยเหรอ รู้สึกว่าแพง แต่เวลาหยิบที่เป็นถุงๆในโลตัสมันแพงกว่านี้อีกนะ กิโลละเท่าไรกันละนั่น
ปลากะพงกิโลละ 250 บาทแต่เป็นแบบตัวใหญ่ยักษ์นะคะหนักหลายกิโล ปลาตาเดียวตัวโตกิโลละ 130 บาท กุ้งก้ามโตตัวโตๆ ตอนนี้กิโลละ 350 - 400 บาท กุ้งไซส์ปกติกิโลละสองร้อยกว่าบาท ปลาทูนึ่งตัวโตจะมีราคาตั้งแต่ 25-40 บาท ตามขนาด ถ้าเป็นเข่งเล็กๆแบบสองตัวหรือสามตัวก็เข่งละ 20- 25 บาท
โครงไก่สดของน้องหมาโครงละ 10-15 บาท ผักสดเป็นกำๆพวกโหระพา กะเพรา กำละ 5 บาท ผักเหรียงสามกำ 20 บาท เครื่องแกงถุงละสิบบาท กะทิประมาณแกงหนึ่งหม้อเล็ก 30 บาท ปกติจะซื้อ 40 บาทเผื่อทำขนม
ทุกอย่างที่ซื้อไปบางทีก็งงๆว่าถูกหรือแพงละเนี่ย แต่ก็ยังโอเคกับราคานี้นะคะ ได้กินของสดๆทุกวันก็ดีใจมากแล้ว







12 ธันวาคม 2558

#บันทึกตลาดสด ...น้ำใจใสๆในตลาด :)


วันนี้เดินตลาดสายนิดนึง เดินซื้อขนมแล้วเข้าไปซื้อของสดตามปกติ ชีวิตในตลาดก็อบอุ่นดีนะคะ...
น้าตุ่นที่ขายรองเท้า ไม่ค่อยสบาย วันนี้ใส่หน้ากากปิดปากสีแดงมาเปิดร้าน คุยกันว่าต้องดูแลตัวเอง ข่าวว่าเดี๋ยวจะกลับบ้านแล้ว ไม่ไหวแล้ว ...หายเร็วๆนะคะ
เดินต่อไปร้านขายไก่สด คุยกับก๊ะร้านไก่ว่าเห็นใช้เขียงไก่อันใหม่แล้วนะคะ เพราะเคยคุยกันว่าด้วยเขียงไก่ ก๊ะบอกว่า เขียงที่ใช้สับเริ่มจะโค้งลงไม่เรียบอีกแล้ว ต้องเปลี่ยนใหม่ แต่แม่ค้าตลาดนัดยังไม่เอามาขาย ต้องรอ เขียงที่ใช้จะต้องผิวเรียบจะได้สับง่าย เวลาใช้สับไปนานๆเขียงจะสึกจนผิวสึกลงไปไม่เรียบเหมือนเดิมก็ต้องเปลี่ยนใหม่ ขนาดของเขียงจะไม่เลือกอันใหญ่เกินไป ง่ายๆเลย เพราะมันหนักขนไปตลาดนัดยาก ส่วนมีดอีโต้ที่ใช้สับก็ต้องเป็นมีดโค้งนิดหน่อยจะได้สับง่าย อย่างเขียงที่ใช้ ใช้ได้ไม่นานสองสามเดือนก็ต้องเปลี่ยน เออ นี่ก็ภูมิปัญญาเฉพาะอาชีพนะคะ น่าสนใจทีเดียว
เดินไปซื้อกุ้ง ได้ความว่าช่วงนี้กุ้งแพง เพราะเขาจับกุ้งล็อตใหญ่ไปตอนเดือนสิบสอง ตอนนี้กุ้งจะแพง แต่อีกไม่นานก็จะราคาลงมาเป็นปกติ อย่างวันนี้ซื้อกุ้งกิโลละสองร้อย ถ้าปกติจะร้อยแปดสิบ เป็นต้น
ซื้อโน่นซื้อนี่แล้วไปซื้อเครื่องแกง ก๊ะร้านเครื่องแกงมีส้มตำกรอบฝากมาให้ลองชิม ส้มตำใส่ถ้วยโฟม แยกน้ำยำส้มตำใส่ถุงมาเสร็จสรรพ เอามาลองชิมแล้วนะคะก๊ะ อร่อยดีค่ะ ส้มตำกรอบแอบเหมือนเฟรนช์ฟราย ว่าจะลองจิ้มซอสหรือมายองเนสน่าจะอร่อย ได้กินตอนเก้าโมงเช้าก็ยังกรอบดี ทอดได้ดีนะคะ
เดินออกจากตลาดด้วยสองมือพะรุงพะรังกับอารมณ์ดีๆค่ะ









CPM (Crown Princess Margareta)

(10 ธันวาคม 2558)


เช้าสวยๆของวันรัฐธรรมนูญ เป็นวันหยุดที่รู้สึกเหมือนเป็นวันเสาร์ แต่จริงๆเป็นวันพฤหัสบดี...สีส้ม
ต้อนรับวันสวยๆด้วยกุหลาบสีส้มแอปริคอท CPM (Crown Princess Margareta) เป็นช่อแรกที่ออกดอกตั้งแต่ปลูกมาเลยค่ะ ซื้อมาตั้งแต่เดือนมิถุนา ปลูกเป็นกุหลาบเลื้อยสวยงาม เพิ่งเริ่มออกดอก เป็นนิมิตหมายอันดีนะคะ :)
Crown Princess Margareta เป็นพันธุ์กุหลาบที่ David Austin ผสมขึ้นในปี 1991 ได้ขื่อจากเจ้าหญิงอังกฤษผู้มีศักดิ์เป็นหลานของสมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรีย เจ้าหญิง Princess Margaret of Connaught (เป็นที่รู้จักในสวีเดนในชื่อเจ้าหญิง Margareta) ทรงเสกสมรสกับเจ้าชายรัชทายาทแห่งสวีเดน Gustaf Adolf (ผู้ซึ่งต่อมาเสด็จขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ King Gustaf VI Adolf) เจ้าหญิงสิ้นพระชนม์ก่อนที่พระสวามีจะเสด็จขึ้นครองราชย์ด้วยพระชันษาเพียง 38 พรรษา เป็นเจ้าหญิงผู้มีความสนใจในศิลปะ การถ่ายภาพและดอกไม้ ไม่แปลกใจเลยทึ่กุหลาบสวยๆแบบนี้จะได้รับการตั้งชื่อตามพระนามของเจ้าหญิงค่ะ #กุหลาบอังกฤษ #EnglishRose 

Art and Science....Turbulent flow in Van Gogh paintings

(เขียนเมื่อ 13 ธันวาคม 2558 เขียนไว้นานแล้วใน FB เอามาเก็บไว้แถวนี้เพราะมีเนื้อหาน่าสนใจค่ะ)



สองสัปดาห์ที่แล้วไปกินข้าวที่ Beach Walk กับพี่หญิง ได้ไปดูรูป Starry Night ของแวนโกะที่ได้มอบไว้ให้ที่นี่ ได้ถ่ายรูปไว้ให้ กลับมาก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะปกติไม่ได้ชอบงานของแวนโกะเท่าไร คือส่วนตัวชอบอิมเพรสชั่นนิสต์ แต่งานของแวนโกะจะเป็น Post Impressionist การแสดงของภาพมีความเคลื่อนไหวสูงกว่า หม่นกว่า แต่ก็ต้องรู้จักกันตามท้องเรื่องอะนะคะ

วันนี้เปิดดูสารคดีใน You Tube พบแอนิเมชั่นของ Ted Ed นำเสนอว่า The Starry night ของแวนโกะ สามารถแสดงรูปแบบความปั่นป่วนของของไหล( Fluid turbulence) ได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ปกติมนุษย์จะมองไม่เห็น (ปกติเราจะเรียนเรื่อง Turbulence เช่น ไอที่พ่นจากเครื่องบิน หรือ eddy current ของการไหลของของเหลว แล้วทำการคำนวณทางคณิตศาสตร์เพื่อจะควบคุมการทำงานของการเกิดการไหลแบบปั่นป่วนเหล่านั้น เช่น การควบคุมการไหลของของไหลในท่อให้ช้าเร็วเพื่อให้เกิดการปั่นป่วนของของไหลมากน้อยต่างกัน เอาไปใช้ประโยชน์ในการให้ความร้อนแก่ของไหลอย่างทั่วถึง เป็นต้น )

แต่แวนโกะและศิลปินอิมเพรสชั่นนิสต์คนอื่นๆใช้วิธีการเขียนภาพต่างจากศิลปินยุคก่อนโดยการจับการเคลื่อนไหวของแสง คือเล่นกับความส่องสว่าง (luminance) ภาพสไตล์อิมเพรสชั่นนิสต์จึงออกมาคล้ายจะมีการเคลื่อนไหว เป็นสิ่งที่จับอารมณ์ ณ ขณะนั้น

ในภาพ Starry Night แวนโกะได้วาดให้เห็นการเคลื่อนไหวที่หมุนวนเป็นวง นักวิจัยได้ทำการวิจัยภาพโดยทำการดิจิไตล์ภาพดูทีละพิกเซลแล้วพบว่าแวนโกะวาดภาพการเคลื่อนไหวในภาพได้ใกล้เคียงกับการอธิบายด้วยคณิตศาสตร์ ซึ่งเป็นเรื่องเหลือเชื่อมากที่เขาสามารถแสดงการเคลื่อนไหวของแสงออกมาได้เช่นนั้น และเป็นเฉพาะภาพที่เขาวาดเมื่อตกอยู่ในภาวะจิตสับสนเท่านั้น เพราะเมื่อลองเปรียบเทียบกับภาพที่เขาวาดตอนที่จิตใจสงบนิ่ง เช่น ภาพเหมือนของตนเองที่สูบไปค์ ภาพนั้นมีควันที่พ่นลอยเป็นวง แต่ไม่มีรูปแบบใกล้เคียงกับหลักการทางวิทยาศาสตร์ หรือแม้แต่ภาพ Scream ของ Edvard Munch ซึ่งมีลักษณะของ Turbulence เช่นกัน ก็ไม่พบรูปแบบการเคลื่อนไหวตามหลักการนี้แต่อย่างใด

วารสาร Nature ได้เขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ด้วยว่า หลักการที่อธิบายความสัมพันธ์ของความเร็วของการไหลและอัตราแรงต้าน ได้ถูกคิดขึ้นโดยนักวิจัยชาวรัสเซีย Andrei Kolmogorov ช่วงทศวรรษ 1940s ความสัมพันธ์นี้เรียกว่า Kolmogorov scaling สิ่งที่พบในงานของแวนโกะคือภาพแสดงการเคลื่อนไหวที่ถูกต้องตามหลักการนี้นั่นเอง และเป็นเพียงคนเดียวที่พบว่าสามารถวาดภาพได้ตรงตามทฤษฎีนี้สามารถตรวจสอบได้จากภาพต่างๆ เช่น The Starry Night, Road with Cypress and Star และ Wheat Field with Crows ( ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าศิลปินคนอื่นวาดภาพไม่ตรงตามความเป็นจริงนะคะ เพียงแต่ไม่ตรงกับทฤษฎีที่นักวิจัยเขาศึกษาเท่านั้น เพราะยังมีงานของศิลปิน เช่น Jackson Pollock ซึ่งมีรูปแบบ fractal patterns นั่นเอาไว้เป็นอีกเรื่องแล้วกัน ไม่อยากบอกว่างานของ Pollock ก็ไม่ค่อยชอบเหมือนกัน ไม่มีอารมณ์ศิลป์แนวนี้เลยนะเรา)
ถ้าจะดูเพิ่ม เวอร์ชั่นง่าย ตามไปดูแอนิเมชั่นใน YouTube ลิงก์นี้นะคะ
ถ้าจะเอาชนิดมีคำอธิบายละเอียดขึ้นอีกนิดแต่ยังเข้าใจง่ายก็ลิงก์นี้ค่ะ บทความในวารสารเนเจอร์
http://www.nature.com/n…/2006/060703/full/news060703-17.html
ลิงก์ของ Museum of Modern Art http://www.moma.org/…/vincent-van-gogh-the-starry-night-1889
และถ้าจะอ่านเวอร์ชั่นงานวิชาการให้ตามไปค้นงานปี 2006 เรื่องนี้ค่ะ http://arxiv.org/abs/physics/0606246

Wednesday, November 02, 2016

การนั่งย่อคุกเข่าวันทยาหัตถ์

บันทึกไว้ในวันที่ 15 ตลาคม 2559
เมื่อวานตอนที่ดูทีวีถ่ายทอดสดขบวนพระบรมศพ ได้เห็นทหารเรือ่คุกเข่าลงและวันทยาหัตถ์ ยังนึกในใจว่าเป็นการแสดงความเคารพที่งดงามมาก ดูเป็นการให้เกียรติสูงสุด แต่ไม่เคยเห็นทหารทำความเคารพด้วยท่านี้มาก่อน วันนี้มีการชี้แจงโดยรองเลขาธิการทหารเรือ ตามนี้เลยค่ะ
"วันนี้(15ต.ค.59)พล.ร.ท.จุมพล ลุมพิกานนท์ รองเสนาธิการทหารเรือ เปิดเผยถึงท่าทำความเคารพทหารเรือในช่วงที่มีขบวนพระบรมศพเคลื่อนผ่านด้วยการนั่งย่อคุกเข่าวันทยาหัตถ์ว่าเป็นท่าไม่มีในรูปแบบการเคารพ แต่เนื่องจากมีประชาชนจำนวนมากมาร่วมในพิธีตลอด 2 ฝั่งถนน ทำให้กองอำนวยการร่วมทหารเรือ ทหารบกและตำรวจ จึงมีมติร่วมกันว่าจะใช้รูปแบบของการทำความเคารพด้วยการย่อคุกเข่าวันทยาหัตถ์ เพื่อไม่ให้บังประชาชน
ที่สำคัญท่านี้เป็นท่าที่เคยใช้ในการทำความเคารพและถวายงานที่อย่างเคยปฎิบัติมา เช่นการรับพระราชทานกระบี่ ซึ่งการทำความเคารพไม่จำเป็นต้องใช้ท่ายืนเพียงอย่างเดียว ต้องดูที่สถานการณ์และความเหมาะสมด้วย" #MyKing

แม่พลอยเมื่อสิ้นแผ่นดินที่หนึ่ง


แม่พลอยเป็นสาวชาววังในยุคสมัยรัชกาลที่ 5 ที่ใช้ชีวิตใต้เบื้องยุคลบาทพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลต่อมารวมได้ถึงสี่แผ่นดิน ชีวิตของแม่พลอยเป็นตัวละครสมมติในนวนิยายเรื่อง “สี่แผ่นดิน” ของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธ์ ปราโมช ที่มีผู้อ่านติดตามใส่ใจและห่วงใยเสมือนแม่พลอยมีตัวตนจริง และยังสงสัยกันว่าน่าจะมีใครสักคนในยุคสมัยนั้นเป็นต้นแบบ ในเรื่องนี้หม่อมราชวงศ์คึกฤทธ์ ปราโมชได้บอกกล่าวไว้ชัดเจนว่า แม่พลอยเป็นตัวละครสมมติไม่มีตัวตนจริง แต่สิ่งที่เป็นของจริงคือฉากที่บรรยายเหตุการณ์ต่างๆในหนังสือ เพราะผู้ประพันธ์ตั้งใจจะให้เป็นที่รวบรวม “รายละเอียดเบื้องหลังประวัติศาสตร์”
ฉันได้อ่านหนังสือเรื่องสี่แผ่นดินตั้งแต่อายุน้อยๆประมาณเดียวกับอายุแม่พลอยตอนเด็กๆในเรื่อง สิ่งที่แม่พลอยได้บรรยายจากสายตาของเด็กๆช่างงดงาม เมืองไทยในยุคสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นเมืองที่แสนจะสงบร่มเย็น มีความเป็นไทย มีธรรมชาติ มีวิถีแห่งไทย โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง โดยเฉพาะในวังหลวงที่แม่พลอยได้เข้าไปอาศัย ความละเมียดละไม วิจิตรบรรจง และความประณีตที่แม่พลอยได้ฝึกฝนในการเป็นสาวชาววัง ชีวิตชาววังที่มีสิทธิ์ใกล้ชิดเจ้าชีวิตของคนไทย ชีวิตที่ได้เห็นพระราชพิธีที่คนภายนอกจะไม่มีโอกาสได้เห็นอย่างใกล้ชิด ได้เห็นสิ่งที่ยอดเยี่ยม แปลกใหม่ที่เข้ามาทำให้เมืองไทยเปลี่ยนโฉมและพัฒนาในด้านต่างๆ ทำให้ฉันนึกภาพตามได้อย่างง่ายดายทั้งๆที่ไม่ได้อยู่ในยุคสมัยนั้น
นึกดูซิว่าแค่ของฝากที่แม่แช่มนำมาให้พลอยหลังจากฝากพลอยถวายตัวให้เสด็จชุบเลี้ยงก็เป็นของที่ต้องใช้เวลาใช้ความคิด
“แล้วแม่ก็หยิบชะลอมเล็กๆน่าเอ็นดูเป็นที่สุดขึ้นมาหลายชะลอม ของในชะลอมนั้นเมื่อพลอยแลเห็น ก็เกือบจะลิงโลดด้วยความดีใจ ชะลอมหนึ่งมีปลากรอบตัวเล็กๆเท่านิ้วก้อย เข้าไม้ตับไว้อย่างกับของจริง อีกชะลอมหนึ่งมีมะขามป้อมลูกเล็กๆได้ขนาด อีกชะลอมหนึ่งใส่ไข่เต่าเปลือกขาวสะอาด ส่วนอีกชะลอมหนึ่งนั่นใส่ไข่เค็มทำด้วยไข่นกกระจาบ พอกขี้เถ้าลูกเล็กๆไม่เกินปลายหัวแม่มือ แต่สิ่งสุดท้ายที่แม่ล้วงจากชะลอมคือทุเรียนกวนพวงหนึ่ง ห่อกาบหมากเรียบร้อยเป็นห่อเล็กๆ แต่ละห่อน่าเอ็นดูเพียงจะขาดใจ”
โลกของแม่พลอยช่วงแรกอยู่ในวังหลวงใต้ร่มพระบารมีอย่างเป็นสุข
จนเมื่อแม่พลอยออกเรือน ออกมาอยู่นอกวังกับคุณเปรม มีครอบครัว มีลูก ชีวิตของแม่พลอยก็เป็นหนึ่งในข้าแผ่นดินที่ใช้ชีวิตตามวิถีคนกรุงเทพยุคนั้น ได้เห็นชีวิตของชาวบ้านร้านตลาด ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสบายตามฐานะ
และแล้วก็มาถึงวันที่แม่พลอยต้องพบกับความสูญเสียที่เป็นความรู้สึกร่วมกันกับคนไทยทั้งประเทศ เมื่อรัชกาลที่ 5 ประชวรและเสด็จสวรรคตในวันที่ 23 ตุลาคม 2453 ในหนังสือ “สี่แผ่นดิน” บรรยายไว้ว่า
“ วันนั้นอากาศมืดครึ้มไปทั่ว ไม่มีแสงแดด ทำให้แลดูครึ้มเยือกเย็น ลมเหนือที่เริ่มจะพัดในเดือนตุลาคมหยุดนิ่งในวันนั้น แม้แต่ใบไม้สักใบก็ไม่มีกระดิก เสียงนกเล็กๆที่เคยร้องอยู่ตามพุ่มไม้ก็เงียบหายไป ธรรมชาติทั่วทั้งกรุงเทพดูเหมือนจะแสดงความโศกสลดในความวิปโยคอันยิ่งใหญ่ ”
“ อย่างน้อยที่สุดที่ตนจะทำได้ในวันนี้ก็คือไปคอยเฝ้าถวายบังคมพระบรมศพตามข้างถนนหนทาง ยังดีกว่านั่งอยู่ที่บ้านโดยไม่มีจิตใจจะทำอะไรถูก พอนึกออกพลอยก็รีบแต่งกายเข้าเครื่องไว้ทุกข์ บอกนางพิศให้ไปตามรถม้ามาคันหนึ่ง แล้วก็ขึ้นรถม้าออกจากบ้านสองคนกับนางพิศมุ่งหน้าไปทางถนนราชดำเนิน
ตลอดทางที่พลอยผ่านมีแต่ชาวบ้านร้านตลาด แต่งกายไว้ทุกข์นุ่งดำเดินมุ่งหน้าไปทางเดียวกันทั้งสิ้น ทุกคนมีใบหน้าอันเศร้าหมอง ส่วนมากถือดอกไม้ธูปเทียนในมือ บางคนเดินร้องไห้ดังๆ ทุกคนต่างมุ่งหน้าไปคอยกระบวนแห่พระบรมศพ เพื่อถวายบังคมสักการะในวันนี้”
“พอพระยานมาศเคลื่อนมาอยู่ตรงหน้า พลอยก็ก้มลงกราบถวายบังคม และเมื่อเงยหน้าขึ้น ตาก็พอดีไปจับอยู่ที่ใบหน้าทหารที่ยืนรายทาง ทหารคนนั้นยืนถือปืนกลับปลายกระบอกปืนก้มหน้าไม่มีกระดิกตามที่ได้รับคำสั่ง ใบหน้าของทหารคนนั้นเป็นใบหน้าของเด็กหนุ่มชาวบ้านนอกเหมือนกับเด็กหนุ่มคนอื่นๆที่เกณฑ์เข้ามา แต่สิ่งที่เข้ามาปลดปล่อยความรู้สึกของพลอยให้ประทุออกมาทั้งหมดก็คือใบหน้าของทหารหนุ่มนั้น มีทางน้ำตาเป็นทางยาวไหลออกมาจากเบ้าตาทั้งสองข้างและน้ำตานั้นไหลอยู่ไม่ขาดสาย พลอยเป็นคนไม่ค่อยแสดงความรู้สึกออกมาให้คนอื่นเห็น แต่เมื่อเห็นหน้าทหารคนนั้นด้วยแสงเทียนที่ถืออยู่ พลอยก็ปล่อยโฮออกมาอย่างหมดอับอาย”
ในความเป็นเด็กสิบขวบ ฉันอ่านมาถึงตอนนี้ ก็อ่านผ่านเลยไป เพราะไม่ได้มีความรู้สึกร่วมใดๆ
เหตุการณ์ในวันที่ 23 ตุลาคม 2453 เหมือนกลับมาซ้ำรอยเดิมในวันที่ 13 ตุลาคม 2559 เวลาผ่านไป 106 ปีแล้ว นับจากวันที่แม่พลอยไปคอยถวายบังคมพระบรมศพ และฉันได้อ่านหนังสือสี่แผ่นดินมาหลายสิบรอบแล้วเช่นกัน แต่การกลับมาอ่านหนังสือ “สี่แผ่นดิน” ในวันนี้ ฉันร้องไห้น้ำตาไหลไม่ขาดสาย และคงจะร้องไห้อีกหลายครั้งหากกลับมาอ่านอีกในอนาคต
เข้าใจแล้วกับความรู้สึกที่ว่า “เกิดมาในแผ่นดินของท่านที่รู้สึกว่าเป็นสุขมาแต่น้อยคุ้มใหญ่ มีชีวิตอยู่ได้ด้วยความแน่นอนเหมือนกับว่ามีต้นโพธิ์ต้นใหญ่คุ้มกันอยู่ให้ได้รับความร่มเย็นเพราะพระบารมี”
เนื้อหาบางส่วนคัดจากหนังสือ “สี่แผ่นดิน” ของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช
ภาพจาก เว็บไซต์ https://news.thaipbs.or.th/content/256946
วิดีโอการเคลื่อนพระบรมศพจากโรงพยาบาลศิริราชไปที่พระบรมมหาราชวัง https://www.youtube.com/watch?v=ltWPF_I1Swk