Friday, November 18, 2005

ในวันที่ถูกปล้น

เวลาได้ยินข่าวจี้ปล้น มักจะรู้สึกว่าไกลตัว เสียใจกับผู้เสียหายแต่ก็ไม่เคยรู้สึกอะไรมากมาย จนมาถึงวันที่ตัวเองถูกปล้นเข้าจริงๆ ถึงได้รู้ว่าความกลัวจับใจเป็นอย่างไร

วันเกิดเหตุเป็นวันที่ 15 พฤศจิกายน 2548 ตามข้อมูลในเว็บเขาบอกว่าเป็นวันที่ดวงจันทร์เต็มดวงเวลา 7:57 p.m. พวกเรา( ปิยะพงค์(พี่ต่าย) จงสุข ฐิติพร(น้อย) มงคล(แซม) และวรรณรัตน์(เพชร)) นัดกันไว้ว่าจะไปปิคนิคริมอ่างเก็บน้ำหลังมหาวิทยาลัย เป็นจุดนั่งเล่นที่พวกเราเพิ่งเจอไม่กี่เดือนมานี้ เพราะค่อนข้างจะไกลสายตาคน ฉันเคยไปมาแล้ว 2 ครั้ง เป็นจุดที่มองเห็นวิวสวย มองได้กว้าง เราก็เลยเห็นพ้องต้องกันว่าเหมาะจะมากินข้าว คุยกันประสาพี่น้องและเฝ้ามองดวงจันทร์กัน


เราออกเดินทางจากที่พักราว 5 โมงครึ่ง พวกเรา 4 คนไปกับรถกระบะฟอร์ดตู้กับข้าวของพี่ต่าย แซมจะตามไปหลังเลิกสอนตอน 6 โมงครึ่ง ไปถึงที่หมายพวกเราก็ช่วยกันขนข้าวของออกมาวาง เราปูผ้าใบผืนใหญ่สีฟ้าผืนเก่งของพี่ต่ายริมอ่างบริเวณที่เป็นพื้นทราย อยู่ใกล้น้ำที่สุดแล้ว ริมตลิ่งนั้นสูงชันขึ้นมาประมาณเมตรเศษๆ ด้านหลังไกลไปอีกประมาณ 3 เมตรจะเป็นเนินหญ้าเรียบและมีบริเวณไปอีกประมาณ 10 เมตรจะเป็นชายป่าละเมาะล้อมรอบ บริเวณที่เรานั่งนั้นจะดูเหมือนอ่าวเล็กๆ พี่ต่ายจอดรถไว้บนเนินหญ้านั้น แล้วเริ่มต้นจัดการกับของกินทั้งหลายพร้อมกับชมวิวไปด้วยเพราะดวงจันทร์ขึ้นแล้ว และฟ้าเป็นสีเรื่อชมพูสวยมาก ไม่มีลมเลย น้ำในอ่างเก็บน้ำนิ่งสนิทจนสะท้อนเงาดวงจันทร์เป็นเหมือนภาพถ่ายแทนที่จะเป็นภาพกระเพื่อมด้วยคลื่น จุดที่เรานั่งเป็นทิศตะวันตกเฉียงเหนือของอ่างเก็บน้ำ กิจกรรมของพวกเราก็เป็นการคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้อย่างสนุกสนาน มีการโทรศัพท์คุยกับเพื่อนๆ และครอบครัวอวดว่ามาเที่ยวที่สวยๆวันจันทร์เต็มดวง บรรยากาศก็แสนจะโรแมนติค เพราะเราเอาเทียนไปจุดเป็นสิบแท่งรอบผ้าใบที่ปูนั่งกัน แซมตามมาตอนค่ำ พี่ต่ายนั่งหันหน้าไปทางอ่างเก็บน้ำ แซม และเพชรนั่งเอียงๆข้าง ฉันกับน้อยนอนดูดาวและคุยเรื่องหนังสือ กับเรื่องรูปร่างของเมฆ เราอยู่ต่อไปจนราว 3 ทุ่ม 10 นาที ...........

กำลังคุยกันอยู่ดีๆ น้อยก็ร้องกรี๊ดขึ้นลั่น พวกเราผุดลุกขึ้นอย่างตกใจ ฉันเองยังงงๆเพราะกำลังนอนงัวเงียหันไปมองเห็นเป็นเงาดำหลายๆร่างกำลังเข้ามาประชิดกลุ่มพวกเรา ทีแรกคิดว่ามีสัตว์ร้ายพวกเสือหรือหมาป่าวิ่งเข้ามาทำร้าย พอเห็นชัดขึ้นมองเห็นเป็นร่างคน 4-5 ร่าง แวบแรกนึกว่าผี แต่พวกนั้นมีท่อนไม้ในมือก็รู้ว่าเป็นคนแต่ท่าทางน่ากลัวมากเป็นร่างดำๆ ผอมๆผมเผ้ารุงรัง ฉันนึกไปถึงพวกมนุษย์ถ้ำหรือมนุษย์กินคน ความรู้สึกตอนนั้นตกใจมากที่สุดในชีวิต กลัวจนทำอะไรไม่ถูกเพราะรู้ว่าบริเวณที่เราอยู่ไม่มีใครที่จะมาช่วยเราได้ และพวกนั้นเข้ามาในลักษณะที่จะทำร้ายแบบถึงตาย พี่ต่ายถูกฟาดไปสองสามครั้ง น้อยกรี๊ดตลอดเวลา แซมทีแรกวิ่งหลบลงไปที่แอ่งน้ำ พอรู้ว่าเป็นคนก็รีบเข้าวิ่งมาสู้ เพชรหยิบฉวยทุกอย่างใกล้มือระดมขว้างไปที่กลุ่มนั้น ฉันกลัวจนกรี๊ดไม่ออก คิดได้แต่ว่าต้องหนี ต้องไปที่รถ มีเทียนอยู่ใกล้ๆตัวก็ฉวยขึ้นปาแล้วก็รีบวิ่งไปที่รถตะโกนว่า ขึ้นรถๆ แซมมีไหวพริบตะโกนขึ้นว่า "ไปเอาปืนมา ไปเอาปืนมา" ฉันได้ยินพวกเราพูดเสริมกันว่าไปเอาปืนในรถ พี่ต่ายก็มีสติรีบกดรีโมตเปิดประตูรถ ฉันรีบขึ้นรถด้านหน้า หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแต่ไม่รู้จะกดไปที่ไหน อารามตกใจ พวกเราทะยอยมาขึ้นรถกันจนครบ ฉันยังไม่รู้ว่าพวกนั้นจะตามมาหรือจะทำอะไร พอขึ้นรถกันครบก็รีบปิดประตู ล็อครถ พี่ต่ายสตาร์รถกำลังหันหัวรถกลับ น้อยก็บอกว่าข้าวของพวกเรายังวางอยู่ที่นั่นทั้งหมด จะลงไปเอาไหม ฉันว่าไม่ต้องเอาแล้ว ออกไปก่อนค่อยให้คนเข้ามาช่วยดู พวกเราก็รีบออกกันมา พี่ต่ายไปรับบาดเจ็บมีเลือดออกบริเวณปาก แต่บอกว่าไม่เป็นไรมาก ฉันพยายามโทรหา 191 สายไม่ติด จะโทรหาสายตรวจของมหาวิทยาลัยก็จำหมายเลขไม่ได้ น้อยโทรไปหาพี่กบ บอกว่าพวกเราถูกปล้นให้โทรหาสายตรวจ ในที่สุดฉันก็เกิดจำหมายเลขสายตรวจได้ก็โทรหา แจ้งรายละเอียด พอดีเรามาถึงป้อมยามหน้าโรงประปา สายตรวจก็วอโทรศํพท์สื่อสารคุยกับร.ป.ภ. อีกไม่กี่นาทีก็มีรถกระบะสายตรวจเข้ามา พี่ต่ายกับแซมโดดขึ้นรถไปกับทีมแรก ทีมต่อๆมาทะยอยกันเข้ามาแล้วก็ตามเข้าไปในพื้นที่ พวกเราที่เหลือ 3 คน นั่งในรถล็อครถ ไม่ยอมออกไปข้างนอก ซักพักพี่กบ น้องพิม เดฟและน้องดำก็เข้ามาอยู่เป็นเพื่อน ต่อมาก็มีทีมตำรวจ ทีมพนักงานในมหาวิทยาลัยที่เกี่ยวข้อง สุดท้ายมีทีมตำรวจนอกเครื่องแบบขับรถยนต์เข้ามาอีก 2 คน จะเข้าในพื้นที่ พวกเราก็บอกว่าไปรถยนต์ไม่ไหว ให้ขับกระบะของพี่ต่ายเข้าไป น้อยกับเพชร เข้าไปในพื้นที่ด้วย ฉันไม่ไป น้องพิมก็เลยพาไปพักผ่อนที่บ้านน้องพิมก่อน ฉันรออยู่นานมากก็เลยโทรไปถามปรากฎว่าพวกเราเข้าไปให้ปากคำกันที่โรงพัก ฉันก็ถามว่าต้องไปไหม น้อยถามตำรวจแล้วบอกว่าควรไป น้องพิมกับพี่กบก็เลยช่วยไปส่งที่โรงพัก ข้อมูลความเสียหาย ที่หนักที่สุดทางร่างกายก็เป็นพี่ต่าย ปากแตก โดนไม้ตีบริเวณศีรษะแต่ไม่รุนแรงมากเพราะไม้ค่อนข้างผุพวกนั้นตีจนไม้หักเป็นท่อน เพชรถูกขว้างกระป๋องน้ำเสื้อเปียกและมีแผลบริเวณไหล่ พวกเราที่เหลือไม่มีอาการบาดเจ็บ ข้าวของที่ได้ไปมีกล้องส่องทางไกลตาเดียวของพี่ต่าย โชคดีที่กล้องไบนอคไลก้าอันหรูไฮโซถูกเก็บไว้ในรถก่อน ขากล้องพวกนั้นก็ไม่ได้เอาไป ของฉันมีถุงใส่หนังสือ มีหนังสือที่ยืมจากห้องสมุดมหาวิทยาลัยเรื่อง หมายเหตุวิเทโสบาย (อย่างน้อยก็ฟังดูวิชาการดี ถ้าเป็นหนังสือนิยายรักหวานแหววคงดูไม่จืด) อย่างอื่นก็พวกของเล็กน้อยพวกหมอนตู๊กตาหมู ตุ๊กตากระต่าย ไฟฉาย ทีแรกคิดว่ากุญแจรถกับกุญแจบ้านหายไปด้วย มาเจอทีหลังในบ้าน เพิ่งรู้ว่าตอนออกไปลืมหยิบกุญแจ กรณีนี้ถือเป็นโชคดีไป ที่โชคร้ายสุดคงเป็นเพชรเพราะเก็บทั้งกระเป๋าเงิน มือถือ และกุญแจไว้ในย่าม แล้วก็ถูกหยิบไปทั้งย่าม เราให้ปากคำกันจนราวตีสองก็กลับเข้ามาในมหาวิทยาลัย ขากลับเข้าที่พัก เราขับรถผ่านสามแยกที่โรงอาหาร 2 มีนกตัวใหญ่พอควรเกาะอยู่บนป้ายบอกทาง ขนาดขับรถเลยไปแล้ว สายเลือดนักดูนกของพี่ต่ายก็ยังทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ รีบถอยรถมาดู นกตัวนั้นเรามองตาเปล่าดูรู้ว่าเป็นพวกนกเค้าแมว นกฮูกอะไรพวกนั้นแต่ไม่ชัดเจน พี่ต่ายส่องกล้องไบนอคแล้วบอกว่า มันคือนกแสก.... อืมม์..... นกแสกตอนคีสองในคืนที่ถูกปล้น...... เป็นมงคลมาก

กลับถึงที่พักคืนนั้น สาวๆสามคนน้อนรวมในห้องเดียวกันแถมต้องขอร้องแซมให้ช่วยมานอนเป็นเพื่อนในห้องรับแขก พอรุ่งเช้าราวเกือบสามโมงเช้า ตำรวจโทรมาบอกว่าจับผู้ต้องสงสัยได้ ให้พวกเราไปชี้ตัวผู้ต้องสงสัย เราก็ไปชี้ตัวกัน ทีแรกไม่นึกว่าสถานีตำรวจต่างจังหวัดจะมีห้องชี้ตัวเหมือนในหนัง แต่เขาก็มีเป็นห้องเล็กๆมีกระจกกั้นผู้ต้องสงสัยจะไม่เห็นผู้ชี้ตัว มีการให้ผู้ต้องสงสัยถือแผ่นป้ายตัวเลข (1 2 3 4 5) ด้านในห้องชี้ตัวก็มีป้าย 1 2 3 4 5 ติดอยูที่กระจก ชี้ตัวแล้วเราต้องชี้ไปที่หมายเลขที่ปิดด้านในกระจกในห้อง ตำรวจจะถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐานการชี้ตัว หลังจากนั้นเราอยู่รอสำนวนจนติดบ่าย ผู้กำกับกับรองฯทั้งสองท่านกรุณาเลี้ยงข้าวกลางวันพวกเรา เป็นบุญคุณมากเพราะให้ความช่วยเหลืออย่างดี และให้กำลังใจพวกเราว่าติดตามจับกุมได้แน่ ตอนบ่ายเราก็กลับเข้าที่ทำงาน ตอนเย็นไม่มีใครมีกระจิตกระใจจะไปลอยกระทง ก็ไปรวมตัวกันกินข้าวที่บ้านพี่ต่าย ยกเว้นน้อยเพราะต้องเดินทางไปออสเตรเลีย ก็เลยต้องขึ้นกรุงเทพคืนนั้นตอนสี่ทุ่มเศษ เราได้รับโทรศัพท์จากทางตำรวจอีกครั้งราว 6 โมง40 นาที บอกว่าได้ตัวผู้ต้องสงสัยเพิ่มพร้อมของกลางเรากำลังกินข้าวกันอยู่ก็เลยต้องขอเวลา และได้ไปโรงพักจริงราวเกือบทุ่มครึ่ง ไปถึงก็มีการชี้ตัวเพิ่มเติม น้อยก็ตามมาให้ปากคำก่อนจะไปสนามบินชนิดฉิวเฉียด อยู่สอบปากคำกันจนราวเที่ยงคืนก็กลับ ทางตำรวจจะไปทำแผนวันรุ่งขึ้น แต่พวกเราก็ไม่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องในกระบวนการเหล่านั้น

งานนี้ก็เลยได้ประสบการณ์จริงชนิดเต็มๆ ทำให้เข้าใจสภาพความขวัญผวาของเหยื่อผู้ประสบกับเหตุการณ์ลักษณะนี้ว่ามันน่ากลัวมาก จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกนั้นตีจนพี่ต่ายล้มลงไปหรือเป็นอะไรที่ร้ายแรงกว่านั้น จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกนั้นเข้าทำร้ายเราจนเราไม่สามารถหนีออกมาได้ ถ้าเราไม่ได้จอดรถบริเวณนั้นหรือเราเอารถจักรยานกันไปแทนที่จะเป็นรถยนต์ พวกเราอาจโดนทำร้ายถึงตายโดยไม่มีใครรู้เห็นและพวกนั้นก็ยังลอยนวลไปทำร้ายคนอื่นได้อีก คนร้ายก็เป็นเด็กดมกาวที่มีบ้านในชุมชนบริเวณหลังมหาวิทยาลัยนั่นเอง ยิ่งทำให้เรารู้สึกว่านี่ขนาดเราอยู่ในบ้านเรา และชุมชนแถวนั้นก็ถือเป็นเพื่อนบ้านที่เราเองก็ไปมาอยู่ตลอด ยังสามารถเกิดเหตุการณ์ได้ขนาดนี้ คนร้ายสามารถอยู่ที่ไหนก็ได้โดยที่เราเองไม่รู้ตัว คิดถึงเรื่องนี้ทีไรก็ยังเห็นภาพกลุ่มคนที่เข้ามาล้อมพวกเราในสภาพที่เราไม่มีอะไรป้องกันตัวได้เลย รอดมาได้นี่ก็ถือว่าทำบุญมามาก เข้าใจว่าอาทิตย์นี้ต้องไปถวายสังฆทาน ทำบุญกรวดน้ำให้เจ้ากรรมนายเวรกันบ้างแล้ว

Friday, April 01, 2005

The right to die

วันนี้ดูรายการเวลาโลก World Time ทางช่อง 9 ดำเนินรายการโดยคุณจักรภพ เพ็ญแข เรื่องที่ฉันสนใจวันนี้คือเรื่อง The right to die
เป็นเรื่องของ มิสซิส เทอร์รี่ เชียโว อายุ 41 ปีซึ่งอยู่ในสภาพไร้ความสามารถสมองตายมาถึง 15 ปี ที่ฟลอริด้า จนในที่สุดได้มีการถอดสายอุปกรณ์ช่วยชีวิตทั้งหมดออกเมื่อวันศุกร์ที่18 มีนาคมโดยความยินยอมจากสามีของเธอที่ต้องการให้เธอได้ตายอย่างมีศักดิ์ศรี ส่วนทางครอบครัว Schindler ซึ่งเป็นครอบครัวเดิมของเธอโดยพ่อแม่ของเทอร์รี่พยายามคัดค้านโดยอ้างว่าเธอต้องการมีชีวิตอยู่

เรื่องนี้จึงกลายเป็นเรื่องใหญ่โตเพราะมีคนที่คิดว่าสิทธิ์ในการตายควรให้คนๆนั้นมีสิทธิ์เลือก และอีกฝ่ายหนึ่งเห็นตรงข้าม มีการเดินขบวนประท้วงตามที่เห็นในภาพข่าว ก็ยังไม่ทราบว่าเรื่องจะจบลงแบบไหน

เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน คนหลายคนอาจคิดไม่เหมือนกัน สิ่งที่ฉันคิดคือถ้าเราพยายามให้ความเป็นธรรมกับทุกๆคนกรณีเช่นนี้ควรเป็นอย่างไร ถ้าถามตัวเองว่าต้องอยู่ในสภาพเช่นนั้น ต้องทรมานคนที่เรารักให้มาดูแลเราเป็นสิบปี ทำให้เขาหมดหวังไปตลอดชีวิต ฉันคงเลือกที่จะตายถ้าทำได้ ถามคนใกล้ตัวเขาบอกว่าเขาก็ยินดีที่จะให้ฉันตายดีกว่าต้องทรมานตัวเองแบบนั้น

แหล่งข้อมูล
1. http://news.bbc.co.uk/1/hi/world/americas/4365331.stm ข่าวจาก BBC วันที่ 21 March, 2005

2. http://news.yahoo.com/news?tmpl=story&u=/nm/20050321/pl_nm/rights_schiavo_dc ข่าวจาก Reuter 31 March 2005

3. http://www.publicagenda.org/issues/overview.cfm?issue_type=right2die

11/5/2548
เขียนเพิ่มเติมในหัวข้อนี้เพราะมีรุ่นน้องคนหนึ่งเพิ่งเสียชีวิตเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคมนี้ด้วยอาการเส้นเลือดในสมองแตก เธอเข้าห้องไอซียูอยู่ประมาณหนึ่งสัปดาห์ก่อนเสียชีวิต ความที่เธอเป็นที่รักของพี่ๆเพื่อนๆน้องๆ รวมถึงลูกศิษย์ลูกหาที่เธอเคยมาเป็นวิทยากรให้ มีคนไปเยี่ยมเยียนเธอที่โรงพยาบาลภูมิพลมากมาย ครั้งแรกที่ฉันเห็นเธอผ่านกระจก แทบจำไม่ได้เพราะเธอถูกโกนศีรษะหมด มีผ้าพันศีรษะทางซ้ายที่ทำการผ่าตัด และมีอาการบวม สภาพเธอที่นอนอยู่อย่างนั้นโดยที่แพทย์ไม่ได้ให้ความหวังอะไร ทำให้ฉันเองก็ใจฝ่อ นึกเผื่อไปว่าถ้าน้องต้องมีสภาพอย่างนี้ตลอดไปจะเป็นอย่างไร ไหนจะต้องมีคนดูแล ถ้าหายแล้วไม่เหมือนเดิม เธอจะทนได้หรือไม่ ครอบครัวจะทำอย่างไร
จนเช้าวันพุธเธอก็สิ้นลมอย่างสงบ ใครๆก็บอกว่าเธอหมดเวรหมดกรรมแล้ว เกิดชาติใดขอให้มีความสุข เพราะชาตินี้เธอดีกับใครๆมากจนไม่ควรที่จะพบสิ่งร้ายๆในชีวิตเธออย่างที่เป็

Wednesday, March 30, 2005

นักคณิตศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ของโลก...พอล แอร์ดิช

ถ้าถามขึ้นมาตอนนี้ให้ระบุชื่อนักคณิตศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงของโลก คงคิดออกเฉพาะคนหลักๆที่ได้ยินบ่อย เช่น นิวตัน ปาสคาล ออยเลอร์ หรืออีกหลายๆคนที่เราได้เรียนผลงานของเขามาจากในบทเรียน เมื่อมาอ่านหนังสือเรื่อง The man who loved only number(ผู้ชายที่หลงรักตัวเลข) ซึ่งเป็นเรื่องชึวิตของ พอล แอร์ดิช(ฉันงงๆกับการออกเสียงมากเพราะชื่อเขาจะเขียนว่า Paul Erdos โดยบนตัว o จะมีสัญลักษณ์ประกอบ อาจเป็นภาษาฮังกาเรียนเพราะเขาเกิดที่นั่น) ยังอ่านหนังสือได้ไม่ทันจบ รู้สึกทึ่งกับชีวิตและผลงานของเขาเป็นอย่างมาก เดี๋ยวรอให้อ่านจบค่อยมาสรุป แต่ตอนนี้จะระบุหัวข้อเรื่องที่ฉันสนใจ
1. รหัสแอร์ดิช เป็นรหัสสำหรับระบุกลุ่มคนที่เคยร่วมงานกับเขา คนที่เคยร่วมงานโดยตรงจะมีรหัสเป็น 1 คนที่เคยร่วมงานกับคนที่เคยร่วมงานกับเขา(ที่มีรหัสเป็น 1) จะมีรหัสเป็น 2 และไล่ไปเรื่อยๆ ( ไอสไตน์ยังมีรหัสเป็น 2 เลย ) คนที่มีรหัสแอร์ดิชเป็น 1 มีจำนวน 485 คน คนที่ไม่เคยมีผลงานกับเขาจะมีรหัสแอร์ดิชเป็น infinity
2. จำนวนเต็มทุกจำนวนถ้าไม่เป็นจำนวนเฉพาะก็จะเป็นผลคูณของจำนวนเฉพาะ และจำนวนเฉพาะมีมากมายไม่สิ้นสุด
3. การลบทฤษฎีบทของเมอร์เซนน์ก็น่าสนใจมาก การบอกว่าจำนวนเฉพาะคือ 2n – 1 ไม่ถูกต้องเสมอไป
4. “Chebyshev said it, and I say it again
There is always a prime between n and 2n”
5. แอร์ดิชชำนาญเรื่องจำนวนเฉพาะมาก และเป็นอัจฉริยะในการตั้งคำถาม จุดเด่นของเขาคือความสามารถในการแก้โจทย์ด้วยบทพิสูจน์ที่สั้น กะทัดรัด ชาญฉลาด และเข้าใจได้ทันทีไม่ใช่ด้วยสมการเป็นหน้าๆ
6. รางวัลฟิลด์เมเดิลเป็นรางวัลที่สำคัญในวงการคณิตศาสตร์เทียบเท่ารางวัลโนเบล
7. ในวงการคณิตศาสตร์มีเพียงลีออนฮาร์ท ออยเลอร์ อัจฉริยะชาวสวิสเท่านั้นที่มีผลงานตีพิมพ์ทางคณิตศาสตร์มากกว่าแอร์ดิช
8. เขาเป็นผู้บุกเบิกเรื่องการจัดหมู่คอมบิเนเทอริกส์ที่เรียกว่าทฤษฎีแรมเซย์(แนวคิดคือการไร้ระเบียบอย่างสมบูรณ์นั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่จะมีลำดับขั้นของมัน และเราจะสามารถค้นพบทุกสิ่งทางคณิตศาสตร์ได้ถ้าเราทำการค้นหามันในจักรวาลที่กว้างพอ) ตัวอย่างคือการนำทฤษฎีนี้ไปใช้ในเรื่อง cosmos ของ Carl Sagan



เว็บไซต์ที่ไปค้นข้อมูลเพิ่มเติม
1. http://www-history.mcs.st-and.ac.uk/history/Mathematicians/Erdos.html ข้อมูลประวัติและมี link ไปยังเว็บอื่นๆ เป็นของมหาวิทยาลัยเซนต์แอนดรูว์ที่สกอตแลนด์
2. http://www.math.ohio-state.edu/~nevai/ERDOS/erdos-obit.html ข้อมูลจาก The New York Times Company September 24, 1996 หน้านี้เป็นข่าวการตายและการสัมภาษณ์คนที่เคยรู้จักเขา และให้คำออกเสียงเรียกชื่อเขาว่า Erdos (pronounced AIR-dosh) แอร์ดอช/แอร์โดช ก็เลยไม่แน่ใจว่าออกเสียงยังไง
3. http://en.wikipedia.org/wiki/Paul_Erd%F6s ข้อมูลทั่วไป
4. http://en.wikipedia.org/wiki/Paul_Erd%F6s List รายชื่อนักคณิตศาสตร์ในประเทศต่างๆ ( ในประเทศไทยไม่มีค่ะ ) ที่มีในรายการมากที่สุดคือฝรั่งเศส(211) แล้วอังกฤษ(204) ตามมาด้วยเยอรมัน(162)และอิตาลี(101) อยู่ในยุโรปหมดเลย

Wednesday, March 23, 2005

ผู้ประเมินภายนอกของ สมศ.

ในฐานะคนที่อยู่ในวงการศึกษาระดับอุดมศึกษา ถ้าพูดถึงสมศ.สัก 4 เดือนที่แล้ว ยังคงส่ายหัวบอกว่าไม่รู้จัก ตอนนี้รู้จัก สมศ. เป็นอย่างดี ถึงเพิ่งจะรู้ตัวว่าน่าอายที่ไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนทั้งๆที่มีความสำคัญกับการปฏิรูปการศึกษาของเมืองไทยเป็นอย่างมาก

สมศ. เป็นชื่อย่อของ สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา มีฐานะเป็นองค์การมหาชน ถูกจัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาเกณฑ์และวิธีการประเมินคุณภาพภายนอก และทำการประเมินผลการจัดการศึกษาเพื่อให้มีการตรวจสอบคุณภาพของสถานศึกษา โดยคำนึงถึงความมุ่งหมาย หลักการ และแนวทางการจัดการศึกษาในแต่ละระดับตามที่กำหนดไว้ในกฏหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ โดยให้มีการประเมินคุณภาพภายนอกของสถานศึกษาทุกแห่งอย่างน้อยหนึ่งครั้งในทุกห้าปี นับตั้งแต่การประเมินครั้งสุดท้าย และเสนอผลการประเมินต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสาธารณชน

พูดแบบง่ายๆคือ ตั้งแต่มีพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งมีแนวคิดในการปฏิรูปการเรียนรู้ มีปัญหาขึ้นมาว่าทำอย่างไรจึงจะประเมินคุณภาพของสถานศึกษาได้ว่าให้ความสำคัญกับเรื่องคุณภาพการเรียนการสอนจริง วิธีแก้ปัญหาคือจัดตั้งหน่วยงานมาคอยดูแลประเมินผล สมศ.ถูกจัดตั้งขึ้นมาด้วยเหตุผลนี้

โรงเรียนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานมีอยู่สามหมื่นกว่าโรงเรียน สมศ.ไม่สามารถทำการประเมินผลได้ทั่วถึงและทันเวลาโดยการทำงานเพียงองค์กรเดียว จึงยอมให้มีผู้ประเมินภายนอกที่ต้องผ่านการอบรมและสอบผ่านได้เป็นผู้ประเมินภายนอก โดยต้องสังกัดหน่วยประเมินใดหน่วยหนึ่งเป็นผู้ประเมินแทน แม้แต่ในขณะนี้ (23 มีนาคม 2548) ได้ข่าวว่ายังเหลือโรงเรียนที่ยังไม่ได้ทำการประเมินอีกประมาณหมื่นโรงเรียน งานนี้คงต้องรีบกันมากว่าจะทำได้ทันเวลาหรือไม่

ได้เข้าไปมีส่วนร่วมเริ่มจากความสนใจในกระบวนการเรียนรู้ และในที่ทำงานเป็นหน่วยฝึกอบรมผู้ประเมินด้วย ทีแรกขอเข้าไปสังเกตการณ์เป็นผู้ช่วยของวิทยากรพี่เลี้ยง วันแรกที่เข้าร่วม ทราบว่าทาง สมศ. ยอมให้สมัครเพิ่มในวันนั้นได้ ก็สมัครเข้าร่วมทันที ได้หมายเลข 099 เป็นคนสุดท้ายของรุ่น และเข้าไปร่วมกลุ่มกับกลุ่ม 7 ซึ่งมีสมาชิกอยู่ทั้งหมด 11 คน การฝึกอบรมใช้เวลา 7 วันเต็มตั้งแต่วันที่ 14-20 มกราคม 2548 ฟังการบรรยายทั้งวัน 3 วัน และมีการสอบข้อสอบปรนัย 1 ชุด หลังจากนั้นไปลงพื้นที่จริง ทางกลุ่มไปที่โรงเรียนท้าวราษฎร์สงเคราะห์ ไปสังเกตการณ์และหาข้อมูล 3 วันเต็ม อีกวันหนึ่งมาทำการสรุปและเขียนรายงาน และสอบข้อเขียนตอนเย็น ใจพะวักพะวน จะสอบก็อยากอ่านหนังสือแต่ก็กลัวจะเขียนรายงานไม่ทัน ดูๆแล้วเหมือนจะเขียนไม่ทันกันทุกกลุ่ม ต้องทำต่อกันอีกวันหนึ่ง มีกำหนดการส่งภายในวันศุกร์ที่ 21 มกราคม ทำกันเต็มที่ งานนี้เห็นน้ำใจกันชัดเจนว่าใครทุ่มเทกับงานแค่ไหน โชคดีที่ในกลุ่มช่วยเหลือกันดี คนที่มีธุระไม่สามารถอยู่ได้จริงๆก็มีคนช่วยเหลือจนงานสำเร็จออกมาได้ เป็นการอบรมที่เครียดพอดู

อบรมเสร็จรอลุ้นกันอีกว่าจะสอบผ่านหรือไม่ มีการปลอบใจจากคณะวิทยากรว่าถ้าสอบไม่ผ่านเขาให้ไปสอบแก้ตัวที่จุฬาฯ ก็เลยมีการแซวกันเป็นที่รื่นเริงว่างานต่อไปไปเจอกันที่จุฬาฯ ผลการสอบมาประกาศในวันที่ 17 มีนาคม 2548 รุ่นนี้ทั้งหมด 99 คน สอบผ่าน 44 คน และมีรายชื่อให้ไปสอบเทียบอีก 29 คน กลุ่มของเราสอบผ่าน 3 คน และไปสอบเทียบ 3 คน นับแล้วประสบผลสำเร็จประมาณ 50 กว่าเปอร์เซนต์

หลังจากสอบผ่าน ต้องนำตัวไปเข้าสังกัดของหน่วยประเมินใดหน่วยหนึ่ง ได้ตามพี่ในกลุ่มไปเข้าสังกัดบริษัทในจังหวัด ทางบริษัทจะดำเนินการขอบัตรประจำตัวให้ จากนั้นจะมีการปฐมนิเทศ แล้วจึงออกไปทำการประเมินสถานศึกษา (ต้องหมายเหตุว่าการไปทำการประเมิน ต้องได้รับการอนุญาตจากต้นสังกัดเป็นลายลักษณ์อักษร เพราะถือว่าการออกไปประเมินเป็นสิ่งที่ควรทำเพื่อช่วยเรื่องการศึกษา  แต่ต่อๆมาเนื่องจากงานนี้มีรายได้เป็นตัวเงินด้วย และการออกไปทำงานต้องลางานปกติไป จึงไม่รับทำบ่อยนัก เต็มที่ก็จะทำประมาณสองโรงเรียนต่อภาคการศึกษา และในที่สุดเมื่อถึงช่วงต้องต่ออายุใบอนุญาตก็เลยไม่ต่ออีกต่อไป)

งานนี้เป็นงานที่น่าสนุกและเป็นประโยชน์กับการศึกษาไทย อยากเห็นสถานศึกษามีคุณภาพ ผลิตนักเรียนที่มีความสามารถ เมื่อเข้าสู่ระดับอุดมศึกษา เราจะได้ช่วยกันส่งเสริมให้มีคนดีๆออกมาช่วยกันต่อไปในอนาคต

ตำรับสายเยาวภา

นานมากที่ไม่ได้มาเขียน blog ออกจะอายตัวเองเล็กน้อย ทั้งๆที่ตั้งใจจะเขียนให้เป็นเรื่องเป็นราว จะได้บันทึกสิ่งที่ตัวเองสนใจไว้ทั้งหมด เอาเป็นว่าเริ่มต้นกันใหม่ดีกว่า

ปีนี้(2005) ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆหลายเรื่อง จะค่อยๆทยอยเขียน วันนี้จะบันทึกถึง "ตำรับสายเยาวภา" เป็นหนังสือตำรับอาหารของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเยาวภาพงศ์สนิท มีการพิมพ์ออกมาเป็นเล่ม เท่าที่ทราบคือ ฉบัยพิมพ์ครั้งที่ 5 ปี2523 สายปัญญาสมาคมได้จัดพิมพ์ขึ้น ฉันเห็นในเว็บ Thaioldbook.com บอกขายอยู่ปกอ่อนเล่มละ 450 บาท เป็นฉบับ"ที่ระลึกงาน มิ กลาโหมราชเสนา,คุณหญิง" ตีพิมพ์ปี 2519 ที่ต้องเขียนไว้เพราะตัวเองสนใจเรื่องตำรับอาหาร แถมยังเป็นนักเรียนเก่าโรงเรียนสายปัญญา หนังสือเล่มนี้น่าหามาอ่าน ตอนนี้ที่เห็นพูดกันอยู่ก็มีในเว็บพันทิป มี blog ของคุณบ้านวังรุ้งพูดถึง ( ดูที่ http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=banwangrung&group=16 )

ตั้งใจว่าจะค้นคว้าตำรับนี้และจะลองทำดู ได้ผลยังไงจะเอามาบันทึกอีกครั้งค่ะ

15 ธันวาคม 2553
วันนี้ไปหยิบหนังสือตำรับสายเยาวภาจากห้องทักษิณคดีของมหาวิทยาลัย ดีใจมากที่ได้เห็นตำรับนี้จริงๆ ตั้งใจว่าจะลองทำดู ได้ผลยังไงจะมาบันทึกนะ

นานจังจากที่เคยบันทึกไว้จนถึงวันที่ได้เห็นหนังสือจริงๆ แต่ก็ดีใจที่ได้เห็น :)

-----------------------------------------------------------------------------
ตำรับสายเยาวภา
ไหนๆสัปดาห์นี้ก็ทำตัวใกล้ชิดงานขนมชาววัง ก็ต้องรำลึกความหลังกันเล็กน้อยนะคะว่าตัวเองเป็นนักเรียนโรงเรียนสายปัญญาซึ่งเป็นโรงเรียนผู้หญิงล้วนและมีการสอนทำขนมในโรงรียนเป็นเรื่องเป็นราวมาก ตอนเข้าไปเรียนทำอาหารชั่วโมงแรกรู้สึกว่าทำขนมชื่อ ลืมกลืน ต้องกวนแป้งที่ผสมน้ำ ซึ่งก็ไม่เคยทำขนมกวนแบบนั้น กวนไปกวนมา มัวเม้าท์กับเพื่อนบ้าง สรุปว่าแป้งจับตัวเป็นก้อน ใช้ไม่ได้...ทิ้ง ทำใหม่ ทำอีกครั้ง คุยอีก แป้งเป็นก้อนอีก..ทิ้ง  จำไม่ได้แล้วว่าในที่สุดเปลี่ยนคนทำหรือตั้งใจทำโดยไม่คุย เพราะยังไงก็ต้องทำให้เสร็จไม่งั้นไม่ได้คะแนนทั้งกลุ่มเลย อีกเมนูที่งงๆคือเมนูปั้นสิบ เพราะทำปั้นสิบนึ่ง เราไม่เคยกินมาก่อน รู้จักแต่ปั้นสิบทอด ตอนทำก็จับจีบไม่เป็นอีก เอาเป็นว่าสมัยโน้นไม่มีความสามารถใดๆในการทำอาหารค่ะ
วันนี้มาดูคลิปรายการของหม่อมหลวงภาสันต์ สวัสดิวัฒน์ รายการ สำรับในวัง เป็นตอน ตำรับสายเยาวภา ซึ่งจะมีการสาธิตทำขนมจีบและปั้นสิบ มีเทคนิคและการดัดแปลงอาหารที่น่าสนใจ เช่น การปั้นรูปทรงของขนมก็จะบ่งบอกว่าใช้เนื้อสัตว์ชนิดไดทำขนม อย่างขนมจีบปั้นรูปทรงเป็นไก่ก็จะทำไส้ไก่ ปั้นสิบรูปทรงคล้ายปลาจะทำไส้ปลา ไส้ที่มีเครื่องปรุงเหมือนกัน แต่ถ้าไส้เป็นปลาจะมีการใส่ข่าเพื่อดับคาว... ยังรู้สึกว่า เออ แล้วสมัยก่อนทำไมไม่รู้จักหัดให้มันทำเป็นทำอร่อยเสียตั้งแต่ตอนนั้นน้าาาา
สายปัญญามีการรวบรวมวิธีทำอาหารของพระองค์เจ้าเยาวภาพงศ์สนิท ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านการทำอาหาร ท่านได้ฝึกฝนการทำอาหารจากสำนักของพระวิมาดาเธอ กรมพระสุทธาสินีนาฎ หนังสื่อที่รวบรวมวิธีทำอาหารของท่านได้ถูกจัดทำเป็นเล่มชื่อ "ตำรับสายเยาวภา" ได้ถูกเรียบเรียงเป็นเล่มครั้งแรกในปีพ.ศ. 2478 เพื่อเป็นหนังสือแจกในงานพระราชทานเพลิงศพ พระองค์เจ้าเยาวภาพงศ์สนิท ปัจจุบันเป็นหนังสือหายาก ทราบว่ามีเล่มที่พิมพ์ใหม่ในปี 2555 แต่ก็หาซื้อไม่ทัน อยากได้มากกกกกกกกกกกก ถึงมากที่สุดค่ะ อยากได้เล่มปกแข็งมีสี เพราะในเล่มมีวิธีทำและมีภาพประกอบอย่างสวยงาม ใครพบเจอช่วยแจ้งด้วยนะคะ
ใครที่อยู่ในวลัยลักษณ์ถ้าอยากอ่านตำรับสายเยาภาก็จะมีอย่เล่มนึงที่ศูนย์บรรณสารฯ แต่เป็นฉบับพิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานฌาปนกิจ ก็จะไม่มีภาพไม่มีรายละเอียดของหนังสือ มีแต่สูตรอาหาร เอามาทดลองทำตามได้ค่ะ มีสูตรที่น่าสนใจหลายสูตร
สืบสานสำรับกับข้าวกันนะคะ 
ส่วนลิงก์นี้เป็นคลิปที่อาจารย์ภารดีทำเมนูสาธิต ขนมจีบไทย(ชนิดจีบด้วยมือ) ปั้นสิบ และขนมดอกลำดวน(ไม่ใช่กลีบลำดวน)ให้ดูค่ะ
1. https://www.youtube.com/watch?v=GNx8nu-OwUc
2. https://www.youtube.com/watch?v=3NqmXoHjt2s&t=260s

----------------------------------------------------------------------------------------------------