Friday, November 18, 2005

ในวันที่ถูกปล้น

เวลาได้ยินข่าวจี้ปล้น มักจะรู้สึกว่าไกลตัว เสียใจกับผู้เสียหายแต่ก็ไม่เคยรู้สึกอะไรมากมาย จนมาถึงวันที่ตัวเองถูกปล้นเข้าจริงๆ ถึงได้รู้ว่าความกลัวจับใจเป็นอย่างไร

วันเกิดเหตุเป็นวันที่ 15 พฤศจิกายน 2548 ตามข้อมูลในเว็บเขาบอกว่าเป็นวันที่ดวงจันทร์เต็มดวงเวลา 7:57 p.m. พวกเรา( ปิยะพงค์(พี่ต่าย) จงสุข ฐิติพร(น้อย) มงคล(แซม) และวรรณรัตน์(เพชร)) นัดกันไว้ว่าจะไปปิคนิคริมอ่างเก็บน้ำหลังมหาวิทยาลัย เป็นจุดนั่งเล่นที่พวกเราเพิ่งเจอไม่กี่เดือนมานี้ เพราะค่อนข้างจะไกลสายตาคน ฉันเคยไปมาแล้ว 2 ครั้ง เป็นจุดที่มองเห็นวิวสวย มองได้กว้าง เราก็เลยเห็นพ้องต้องกันว่าเหมาะจะมากินข้าว คุยกันประสาพี่น้องและเฝ้ามองดวงจันทร์กัน


เราออกเดินทางจากที่พักราว 5 โมงครึ่ง พวกเรา 4 คนไปกับรถกระบะฟอร์ดตู้กับข้าวของพี่ต่าย แซมจะตามไปหลังเลิกสอนตอน 6 โมงครึ่ง ไปถึงที่หมายพวกเราก็ช่วยกันขนข้าวของออกมาวาง เราปูผ้าใบผืนใหญ่สีฟ้าผืนเก่งของพี่ต่ายริมอ่างบริเวณที่เป็นพื้นทราย อยู่ใกล้น้ำที่สุดแล้ว ริมตลิ่งนั้นสูงชันขึ้นมาประมาณเมตรเศษๆ ด้านหลังไกลไปอีกประมาณ 3 เมตรจะเป็นเนินหญ้าเรียบและมีบริเวณไปอีกประมาณ 10 เมตรจะเป็นชายป่าละเมาะล้อมรอบ บริเวณที่เรานั่งนั้นจะดูเหมือนอ่าวเล็กๆ พี่ต่ายจอดรถไว้บนเนินหญ้านั้น แล้วเริ่มต้นจัดการกับของกินทั้งหลายพร้อมกับชมวิวไปด้วยเพราะดวงจันทร์ขึ้นแล้ว และฟ้าเป็นสีเรื่อชมพูสวยมาก ไม่มีลมเลย น้ำในอ่างเก็บน้ำนิ่งสนิทจนสะท้อนเงาดวงจันทร์เป็นเหมือนภาพถ่ายแทนที่จะเป็นภาพกระเพื่อมด้วยคลื่น จุดที่เรานั่งเป็นทิศตะวันตกเฉียงเหนือของอ่างเก็บน้ำ กิจกรรมของพวกเราก็เป็นการคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้อย่างสนุกสนาน มีการโทรศัพท์คุยกับเพื่อนๆ และครอบครัวอวดว่ามาเที่ยวที่สวยๆวันจันทร์เต็มดวง บรรยากาศก็แสนจะโรแมนติค เพราะเราเอาเทียนไปจุดเป็นสิบแท่งรอบผ้าใบที่ปูนั่งกัน แซมตามมาตอนค่ำ พี่ต่ายนั่งหันหน้าไปทางอ่างเก็บน้ำ แซม และเพชรนั่งเอียงๆข้าง ฉันกับน้อยนอนดูดาวและคุยเรื่องหนังสือ กับเรื่องรูปร่างของเมฆ เราอยู่ต่อไปจนราว 3 ทุ่ม 10 นาที ...........

กำลังคุยกันอยู่ดีๆ น้อยก็ร้องกรี๊ดขึ้นลั่น พวกเราผุดลุกขึ้นอย่างตกใจ ฉันเองยังงงๆเพราะกำลังนอนงัวเงียหันไปมองเห็นเป็นเงาดำหลายๆร่างกำลังเข้ามาประชิดกลุ่มพวกเรา ทีแรกคิดว่ามีสัตว์ร้ายพวกเสือหรือหมาป่าวิ่งเข้ามาทำร้าย พอเห็นชัดขึ้นมองเห็นเป็นร่างคน 4-5 ร่าง แวบแรกนึกว่าผี แต่พวกนั้นมีท่อนไม้ในมือก็รู้ว่าเป็นคนแต่ท่าทางน่ากลัวมากเป็นร่างดำๆ ผอมๆผมเผ้ารุงรัง ฉันนึกไปถึงพวกมนุษย์ถ้ำหรือมนุษย์กินคน ความรู้สึกตอนนั้นตกใจมากที่สุดในชีวิต กลัวจนทำอะไรไม่ถูกเพราะรู้ว่าบริเวณที่เราอยู่ไม่มีใครที่จะมาช่วยเราได้ และพวกนั้นเข้ามาในลักษณะที่จะทำร้ายแบบถึงตาย พี่ต่ายถูกฟาดไปสองสามครั้ง น้อยกรี๊ดตลอดเวลา แซมทีแรกวิ่งหลบลงไปที่แอ่งน้ำ พอรู้ว่าเป็นคนก็รีบเข้าวิ่งมาสู้ เพชรหยิบฉวยทุกอย่างใกล้มือระดมขว้างไปที่กลุ่มนั้น ฉันกลัวจนกรี๊ดไม่ออก คิดได้แต่ว่าต้องหนี ต้องไปที่รถ มีเทียนอยู่ใกล้ๆตัวก็ฉวยขึ้นปาแล้วก็รีบวิ่งไปที่รถตะโกนว่า ขึ้นรถๆ แซมมีไหวพริบตะโกนขึ้นว่า "ไปเอาปืนมา ไปเอาปืนมา" ฉันได้ยินพวกเราพูดเสริมกันว่าไปเอาปืนในรถ พี่ต่ายก็มีสติรีบกดรีโมตเปิดประตูรถ ฉันรีบขึ้นรถด้านหน้า หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแต่ไม่รู้จะกดไปที่ไหน อารามตกใจ พวกเราทะยอยมาขึ้นรถกันจนครบ ฉันยังไม่รู้ว่าพวกนั้นจะตามมาหรือจะทำอะไร พอขึ้นรถกันครบก็รีบปิดประตู ล็อครถ พี่ต่ายสตาร์รถกำลังหันหัวรถกลับ น้อยก็บอกว่าข้าวของพวกเรายังวางอยู่ที่นั่นทั้งหมด จะลงไปเอาไหม ฉันว่าไม่ต้องเอาแล้ว ออกไปก่อนค่อยให้คนเข้ามาช่วยดู พวกเราก็รีบออกกันมา พี่ต่ายไปรับบาดเจ็บมีเลือดออกบริเวณปาก แต่บอกว่าไม่เป็นไรมาก ฉันพยายามโทรหา 191 สายไม่ติด จะโทรหาสายตรวจของมหาวิทยาลัยก็จำหมายเลขไม่ได้ น้อยโทรไปหาพี่กบ บอกว่าพวกเราถูกปล้นให้โทรหาสายตรวจ ในที่สุดฉันก็เกิดจำหมายเลขสายตรวจได้ก็โทรหา แจ้งรายละเอียด พอดีเรามาถึงป้อมยามหน้าโรงประปา สายตรวจก็วอโทรศํพท์สื่อสารคุยกับร.ป.ภ. อีกไม่กี่นาทีก็มีรถกระบะสายตรวจเข้ามา พี่ต่ายกับแซมโดดขึ้นรถไปกับทีมแรก ทีมต่อๆมาทะยอยกันเข้ามาแล้วก็ตามเข้าไปในพื้นที่ พวกเราที่เหลือ 3 คน นั่งในรถล็อครถ ไม่ยอมออกไปข้างนอก ซักพักพี่กบ น้องพิม เดฟและน้องดำก็เข้ามาอยู่เป็นเพื่อน ต่อมาก็มีทีมตำรวจ ทีมพนักงานในมหาวิทยาลัยที่เกี่ยวข้อง สุดท้ายมีทีมตำรวจนอกเครื่องแบบขับรถยนต์เข้ามาอีก 2 คน จะเข้าในพื้นที่ พวกเราก็บอกว่าไปรถยนต์ไม่ไหว ให้ขับกระบะของพี่ต่ายเข้าไป น้อยกับเพชร เข้าไปในพื้นที่ด้วย ฉันไม่ไป น้องพิมก็เลยพาไปพักผ่อนที่บ้านน้องพิมก่อน ฉันรออยู่นานมากก็เลยโทรไปถามปรากฎว่าพวกเราเข้าไปให้ปากคำกันที่โรงพัก ฉันก็ถามว่าต้องไปไหม น้อยถามตำรวจแล้วบอกว่าควรไป น้องพิมกับพี่กบก็เลยช่วยไปส่งที่โรงพัก ข้อมูลความเสียหาย ที่หนักที่สุดทางร่างกายก็เป็นพี่ต่าย ปากแตก โดนไม้ตีบริเวณศีรษะแต่ไม่รุนแรงมากเพราะไม้ค่อนข้างผุพวกนั้นตีจนไม้หักเป็นท่อน เพชรถูกขว้างกระป๋องน้ำเสื้อเปียกและมีแผลบริเวณไหล่ พวกเราที่เหลือไม่มีอาการบาดเจ็บ ข้าวของที่ได้ไปมีกล้องส่องทางไกลตาเดียวของพี่ต่าย โชคดีที่กล้องไบนอคไลก้าอันหรูไฮโซถูกเก็บไว้ในรถก่อน ขากล้องพวกนั้นก็ไม่ได้เอาไป ของฉันมีถุงใส่หนังสือ มีหนังสือที่ยืมจากห้องสมุดมหาวิทยาลัยเรื่อง หมายเหตุวิเทโสบาย (อย่างน้อยก็ฟังดูวิชาการดี ถ้าเป็นหนังสือนิยายรักหวานแหววคงดูไม่จืด) อย่างอื่นก็พวกของเล็กน้อยพวกหมอนตู๊กตาหมู ตุ๊กตากระต่าย ไฟฉาย ทีแรกคิดว่ากุญแจรถกับกุญแจบ้านหายไปด้วย มาเจอทีหลังในบ้าน เพิ่งรู้ว่าตอนออกไปลืมหยิบกุญแจ กรณีนี้ถือเป็นโชคดีไป ที่โชคร้ายสุดคงเป็นเพชรเพราะเก็บทั้งกระเป๋าเงิน มือถือ และกุญแจไว้ในย่าม แล้วก็ถูกหยิบไปทั้งย่าม เราให้ปากคำกันจนราวตีสองก็กลับเข้ามาในมหาวิทยาลัย ขากลับเข้าที่พัก เราขับรถผ่านสามแยกที่โรงอาหาร 2 มีนกตัวใหญ่พอควรเกาะอยู่บนป้ายบอกทาง ขนาดขับรถเลยไปแล้ว สายเลือดนักดูนกของพี่ต่ายก็ยังทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ รีบถอยรถมาดู นกตัวนั้นเรามองตาเปล่าดูรู้ว่าเป็นพวกนกเค้าแมว นกฮูกอะไรพวกนั้นแต่ไม่ชัดเจน พี่ต่ายส่องกล้องไบนอคแล้วบอกว่า มันคือนกแสก.... อืมม์..... นกแสกตอนคีสองในคืนที่ถูกปล้น...... เป็นมงคลมาก

กลับถึงที่พักคืนนั้น สาวๆสามคนน้อนรวมในห้องเดียวกันแถมต้องขอร้องแซมให้ช่วยมานอนเป็นเพื่อนในห้องรับแขก พอรุ่งเช้าราวเกือบสามโมงเช้า ตำรวจโทรมาบอกว่าจับผู้ต้องสงสัยได้ ให้พวกเราไปชี้ตัวผู้ต้องสงสัย เราก็ไปชี้ตัวกัน ทีแรกไม่นึกว่าสถานีตำรวจต่างจังหวัดจะมีห้องชี้ตัวเหมือนในหนัง แต่เขาก็มีเป็นห้องเล็กๆมีกระจกกั้นผู้ต้องสงสัยจะไม่เห็นผู้ชี้ตัว มีการให้ผู้ต้องสงสัยถือแผ่นป้ายตัวเลข (1 2 3 4 5) ด้านในห้องชี้ตัวก็มีป้าย 1 2 3 4 5 ติดอยูที่กระจก ชี้ตัวแล้วเราต้องชี้ไปที่หมายเลขที่ปิดด้านในกระจกในห้อง ตำรวจจะถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐานการชี้ตัว หลังจากนั้นเราอยู่รอสำนวนจนติดบ่าย ผู้กำกับกับรองฯทั้งสองท่านกรุณาเลี้ยงข้าวกลางวันพวกเรา เป็นบุญคุณมากเพราะให้ความช่วยเหลืออย่างดี และให้กำลังใจพวกเราว่าติดตามจับกุมได้แน่ ตอนบ่ายเราก็กลับเข้าที่ทำงาน ตอนเย็นไม่มีใครมีกระจิตกระใจจะไปลอยกระทง ก็ไปรวมตัวกันกินข้าวที่บ้านพี่ต่าย ยกเว้นน้อยเพราะต้องเดินทางไปออสเตรเลีย ก็เลยต้องขึ้นกรุงเทพคืนนั้นตอนสี่ทุ่มเศษ เราได้รับโทรศัพท์จากทางตำรวจอีกครั้งราว 6 โมง40 นาที บอกว่าได้ตัวผู้ต้องสงสัยเพิ่มพร้อมของกลางเรากำลังกินข้าวกันอยู่ก็เลยต้องขอเวลา และได้ไปโรงพักจริงราวเกือบทุ่มครึ่ง ไปถึงก็มีการชี้ตัวเพิ่มเติม น้อยก็ตามมาให้ปากคำก่อนจะไปสนามบินชนิดฉิวเฉียด อยู่สอบปากคำกันจนราวเที่ยงคืนก็กลับ ทางตำรวจจะไปทำแผนวันรุ่งขึ้น แต่พวกเราก็ไม่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องในกระบวนการเหล่านั้น

งานนี้ก็เลยได้ประสบการณ์จริงชนิดเต็มๆ ทำให้เข้าใจสภาพความขวัญผวาของเหยื่อผู้ประสบกับเหตุการณ์ลักษณะนี้ว่ามันน่ากลัวมาก จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกนั้นตีจนพี่ต่ายล้มลงไปหรือเป็นอะไรที่ร้ายแรงกว่านั้น จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกนั้นเข้าทำร้ายเราจนเราไม่สามารถหนีออกมาได้ ถ้าเราไม่ได้จอดรถบริเวณนั้นหรือเราเอารถจักรยานกันไปแทนที่จะเป็นรถยนต์ พวกเราอาจโดนทำร้ายถึงตายโดยไม่มีใครรู้เห็นและพวกนั้นก็ยังลอยนวลไปทำร้ายคนอื่นได้อีก คนร้ายก็เป็นเด็กดมกาวที่มีบ้านในชุมชนบริเวณหลังมหาวิทยาลัยนั่นเอง ยิ่งทำให้เรารู้สึกว่านี่ขนาดเราอยู่ในบ้านเรา และชุมชนแถวนั้นก็ถือเป็นเพื่อนบ้านที่เราเองก็ไปมาอยู่ตลอด ยังสามารถเกิดเหตุการณ์ได้ขนาดนี้ คนร้ายสามารถอยู่ที่ไหนก็ได้โดยที่เราเองไม่รู้ตัว คิดถึงเรื่องนี้ทีไรก็ยังเห็นภาพกลุ่มคนที่เข้ามาล้อมพวกเราในสภาพที่เราไม่มีอะไรป้องกันตัวได้เลย รอดมาได้นี่ก็ถือว่าทำบุญมามาก เข้าใจว่าอาทิตย์นี้ต้องไปถวายสังฆทาน ทำบุญกรวดน้ำให้เจ้ากรรมนายเวรกันบ้างแล้ว