Thursday, December 01, 2016

กุหลาบจุฬาลงกรณ์


กุหลาบจุฬาลงกรณ์





กุหลาบสีชมพู ดอกใหญ่ กลีบซ้อนแน่นดอกนี้ชื่อว่า "กุหลาบจุฬาลงกรณ์" เป็นกุหลาบที่พระราชชายา เจ้าดารารัศมีทรงโปรดและได้ตั้งชื่อเป็นที่ระลึกถึงพระสวามีคือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ไม่มีข้อมูลแน่ชัดถึงกุหลาบพันธ์นี้ว่าใครป็นผู้ผสมพันธุ์ขึ้นและมีชื่อว่าอะไร แต่เป็นที่เข้าใจว่าเป็นกุหลาบที่พระราชชายา เจ้าดารารัศมีได้มาจากอังกฤษเนื่องจากท่านทรงเป็น สมาชิกกิตติมศักดิ์ ของ ราชสมาคมกุหลาบแห่งประเทศอังกฤษ ( The Royal National Rose Society (RNSS)) และได้ถูกนำไปปลูกที่เชียงใหม่ เมื่อท่านได้ตั้งชื่อกุหลาบไว้แล้ว กุหลาบพันธุ์นี้จึงเป็นที่รู้จักในประเทศไทยว่าคือ "กุหลาบจุฬาลงกรณ์"

กุหลาบจุฬาลงกรณ์นับว่าเป็นกุหลาบสมัยเก่า (Old Garden Roses) ซึ่งหมายถึง กุหลาบที่ผสมพันธุ์ออกสู่ตลาดก่อนปี ค.ศ. 1867 (พ.ศ. 2410) จัดเป็นกุหลาบชนิด ไฮบริดเพอร์เพทชวล (Hybrid Perpetual) มีกลีบมากประมาณ 45 กลีบ ขนาดดอกใหญ่ประมาณ 12-15 ซม มีกลิ่นหอมจัด ไม่มีหนาม ดอกใหญ่มาก โตเร็ว

กุหลาบต้นนี้ได้มาจากงานเกษตรแฟร์ที่ ม.วลัยลักษณ์ปีนี้ ปกติจะซื้อกุหลาบของ David Austin หรือไม่ก็พันธุ์ที่รู้จักชื่ออยู่บ้าง วันนั้นตอนไปเดินซื้อก็ลองถามไปเล่นๆ เพราะผูกพันกับชื่อจุฬาลงกรณ์มายาวนาน ดีใจมากที่เขามีขาย ก็ซื้อมาหนึ่งต้น ไม่ค่อยแน่ใจว่าจะเลี้ยงรอดหรือเปล่าเพราะทราบว่ามีโรคพืชที่กุหลาบพันธุ์นี้ไม่ค่อยทนอยู่เหมือนกัน
หลังจากปลูกมาซักพัก พบว่ากุหลาบต้นนี้เป็นกุหลาบนิสัยดีอีกหนึ่งต้น จะออกดอกเรื่อยๆ ดอกใหญ่ กลีบซ้อนหนา สีชมพูสวยหวานมากๆ ปีหน้าถ้าเขาเอามาขายอีกจะซื้อเพิ่มค่ะ :)

ถ่ายรูปกุหลาบมาประชันกับแก้วและร่มกุหลาบจุฬาลงกรณ์ ปีนี้จุฬาฉลอง 100 ปี มีของที่ระลึกที่ใช้ลายดอกกุหลาบจุฬาลงกรณ์หลายชิ้น งดงาม และมีคุณค่าทางใจมากค่ะ

Thursday, November 24, 2016

#บันทึกตลาดสด...แบบไม่ชำนาญการ : ราคาอาหาร

1 ธันวาคม 2558




สามสี่ปีมานี้ได้เดินตลาดสดแทบทุกวัน การเดินตลาดสดก็ดีที่ได้อาหารสดๆจริง หลังจากต้องทำอาหารเองทุกวันมาระยะหนึ่งก็พบว่าชีวิตที่ต้องกินอาหารกล่อง อาหารกระป๋อง อาหารปรุงแต่งที่เคยเป็นมาเมื่อหลายปีก่อนมันดูน่าสงสารไปนะ ในเมื่อเราสามารถหาของสดๆใหม่ๆ เลือกได้ ปรุงรสชาติเองได้
แต่การเดินตลาดแบบผู้ไม่ชำนาญการก็มีอาการประมาณว่า เราจะซื้อของแบบนิ่งๆไงคะ เอาราคารวมมาเลย ไม่เคยถามราคาว่าของแต่ละอย่างราคาเท่าไร เพราะคิดว่ายังไงก็ถูกกว่าซื้อในซุปเปอร์มาร์เกต มีวันนี้แหละ ลองถามราคาแม่ค้าว่า ผักกาดเขียว ผักกาดขาวราคาเท่าไร ได้คำตอบว่า กิโลละ 35 และ 40 บาท ตามลำดับ แล้วคึ่นช่ายราคาเท่าไรคะ ขีดละ 15 บาท แอร๊ยย กิโลละ 150 เลยเหรอ รู้สึกว่าแพง แต่เวลาหยิบที่เป็นถุงๆในโลตัสมันแพงกว่านี้อีกนะ กิโลละเท่าไรกันละนั่น
ปลากะพงกิโลละ 250 บาทแต่เป็นแบบตัวใหญ่ยักษ์นะคะหนักหลายกิโล ปลาตาเดียวตัวโตกิโลละ 130 บาท กุ้งก้ามโตตัวโตๆ ตอนนี้กิโลละ 350 - 400 บาท กุ้งไซส์ปกติกิโลละสองร้อยกว่าบาท ปลาทูนึ่งตัวโตจะมีราคาตั้งแต่ 25-40 บาท ตามขนาด ถ้าเป็นเข่งเล็กๆแบบสองตัวหรือสามตัวก็เข่งละ 20- 25 บาท
โครงไก่สดของน้องหมาโครงละ 10-15 บาท ผักสดเป็นกำๆพวกโหระพา กะเพรา กำละ 5 บาท ผักเหรียงสามกำ 20 บาท เครื่องแกงถุงละสิบบาท กะทิประมาณแกงหนึ่งหม้อเล็ก 30 บาท ปกติจะซื้อ 40 บาทเผื่อทำขนม
ทุกอย่างที่ซื้อไปบางทีก็งงๆว่าถูกหรือแพงละเนี่ย แต่ก็ยังโอเคกับราคานี้นะคะ ได้กินของสดๆทุกวันก็ดีใจมากแล้ว







12 ธันวาคม 2558

#บันทึกตลาดสด ...น้ำใจใสๆในตลาด :)


วันนี้เดินตลาดสายนิดนึง เดินซื้อขนมแล้วเข้าไปซื้อของสดตามปกติ ชีวิตในตลาดก็อบอุ่นดีนะคะ...
น้าตุ่นที่ขายรองเท้า ไม่ค่อยสบาย วันนี้ใส่หน้ากากปิดปากสีแดงมาเปิดร้าน คุยกันว่าต้องดูแลตัวเอง ข่าวว่าเดี๋ยวจะกลับบ้านแล้ว ไม่ไหวแล้ว ...หายเร็วๆนะคะ
เดินต่อไปร้านขายไก่สด คุยกับก๊ะร้านไก่ว่าเห็นใช้เขียงไก่อันใหม่แล้วนะคะ เพราะเคยคุยกันว่าด้วยเขียงไก่ ก๊ะบอกว่า เขียงที่ใช้สับเริ่มจะโค้งลงไม่เรียบอีกแล้ว ต้องเปลี่ยนใหม่ แต่แม่ค้าตลาดนัดยังไม่เอามาขาย ต้องรอ เขียงที่ใช้จะต้องผิวเรียบจะได้สับง่าย เวลาใช้สับไปนานๆเขียงจะสึกจนผิวสึกลงไปไม่เรียบเหมือนเดิมก็ต้องเปลี่ยนใหม่ ขนาดของเขียงจะไม่เลือกอันใหญ่เกินไป ง่ายๆเลย เพราะมันหนักขนไปตลาดนัดยาก ส่วนมีดอีโต้ที่ใช้สับก็ต้องเป็นมีดโค้งนิดหน่อยจะได้สับง่าย อย่างเขียงที่ใช้ ใช้ได้ไม่นานสองสามเดือนก็ต้องเปลี่ยน เออ นี่ก็ภูมิปัญญาเฉพาะอาชีพนะคะ น่าสนใจทีเดียว
เดินไปซื้อกุ้ง ได้ความว่าช่วงนี้กุ้งแพง เพราะเขาจับกุ้งล็อตใหญ่ไปตอนเดือนสิบสอง ตอนนี้กุ้งจะแพง แต่อีกไม่นานก็จะราคาลงมาเป็นปกติ อย่างวันนี้ซื้อกุ้งกิโลละสองร้อย ถ้าปกติจะร้อยแปดสิบ เป็นต้น
ซื้อโน่นซื้อนี่แล้วไปซื้อเครื่องแกง ก๊ะร้านเครื่องแกงมีส้มตำกรอบฝากมาให้ลองชิม ส้มตำใส่ถ้วยโฟม แยกน้ำยำส้มตำใส่ถุงมาเสร็จสรรพ เอามาลองชิมแล้วนะคะก๊ะ อร่อยดีค่ะ ส้มตำกรอบแอบเหมือนเฟรนช์ฟราย ว่าจะลองจิ้มซอสหรือมายองเนสน่าจะอร่อย ได้กินตอนเก้าโมงเช้าก็ยังกรอบดี ทอดได้ดีนะคะ
เดินออกจากตลาดด้วยสองมือพะรุงพะรังกับอารมณ์ดีๆค่ะ









CPM (Crown Princess Margareta)

(10 ธันวาคม 2558)


เช้าสวยๆของวันรัฐธรรมนูญ เป็นวันหยุดที่รู้สึกเหมือนเป็นวันเสาร์ แต่จริงๆเป็นวันพฤหัสบดี...สีส้ม
ต้อนรับวันสวยๆด้วยกุหลาบสีส้มแอปริคอท CPM (Crown Princess Margareta) เป็นช่อแรกที่ออกดอกตั้งแต่ปลูกมาเลยค่ะ ซื้อมาตั้งแต่เดือนมิถุนา ปลูกเป็นกุหลาบเลื้อยสวยงาม เพิ่งเริ่มออกดอก เป็นนิมิตหมายอันดีนะคะ :)
Crown Princess Margareta เป็นพันธุ์กุหลาบที่ David Austin ผสมขึ้นในปี 1991 ได้ขื่อจากเจ้าหญิงอังกฤษผู้มีศักดิ์เป็นหลานของสมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรีย เจ้าหญิง Princess Margaret of Connaught (เป็นที่รู้จักในสวีเดนในชื่อเจ้าหญิง Margareta) ทรงเสกสมรสกับเจ้าชายรัชทายาทแห่งสวีเดน Gustaf Adolf (ผู้ซึ่งต่อมาเสด็จขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ King Gustaf VI Adolf) เจ้าหญิงสิ้นพระชนม์ก่อนที่พระสวามีจะเสด็จขึ้นครองราชย์ด้วยพระชันษาเพียง 38 พรรษา เป็นเจ้าหญิงผู้มีความสนใจในศิลปะ การถ่ายภาพและดอกไม้ ไม่แปลกใจเลยทึ่กุหลาบสวยๆแบบนี้จะได้รับการตั้งชื่อตามพระนามของเจ้าหญิงค่ะ #กุหลาบอังกฤษ #EnglishRose 

Art and Science....Turbulent flow in Van Gogh paintings

(เขียนเมื่อ 13 ธันวาคม 2558 เขียนไว้นานแล้วใน FB เอามาเก็บไว้แถวนี้เพราะมีเนื้อหาน่าสนใจค่ะ)



สองสัปดาห์ที่แล้วไปกินข้าวที่ Beach Walk กับพี่หญิง ได้ไปดูรูป Starry Night ของแวนโกะที่ได้มอบไว้ให้ที่นี่ ได้ถ่ายรูปไว้ให้ กลับมาก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะปกติไม่ได้ชอบงานของแวนโกะเท่าไร คือส่วนตัวชอบอิมเพรสชั่นนิสต์ แต่งานของแวนโกะจะเป็น Post Impressionist การแสดงของภาพมีความเคลื่อนไหวสูงกว่า หม่นกว่า แต่ก็ต้องรู้จักกันตามท้องเรื่องอะนะคะ

วันนี้เปิดดูสารคดีใน You Tube พบแอนิเมชั่นของ Ted Ed นำเสนอว่า The Starry night ของแวนโกะ สามารถแสดงรูปแบบความปั่นป่วนของของไหล( Fluid turbulence) ได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ปกติมนุษย์จะมองไม่เห็น (ปกติเราจะเรียนเรื่อง Turbulence เช่น ไอที่พ่นจากเครื่องบิน หรือ eddy current ของการไหลของของเหลว แล้วทำการคำนวณทางคณิตศาสตร์เพื่อจะควบคุมการทำงานของการเกิดการไหลแบบปั่นป่วนเหล่านั้น เช่น การควบคุมการไหลของของไหลในท่อให้ช้าเร็วเพื่อให้เกิดการปั่นป่วนของของไหลมากน้อยต่างกัน เอาไปใช้ประโยชน์ในการให้ความร้อนแก่ของไหลอย่างทั่วถึง เป็นต้น )

แต่แวนโกะและศิลปินอิมเพรสชั่นนิสต์คนอื่นๆใช้วิธีการเขียนภาพต่างจากศิลปินยุคก่อนโดยการจับการเคลื่อนไหวของแสง คือเล่นกับความส่องสว่าง (luminance) ภาพสไตล์อิมเพรสชั่นนิสต์จึงออกมาคล้ายจะมีการเคลื่อนไหว เป็นสิ่งที่จับอารมณ์ ณ ขณะนั้น

ในภาพ Starry Night แวนโกะได้วาดให้เห็นการเคลื่อนไหวที่หมุนวนเป็นวง นักวิจัยได้ทำการวิจัยภาพโดยทำการดิจิไตล์ภาพดูทีละพิกเซลแล้วพบว่าแวนโกะวาดภาพการเคลื่อนไหวในภาพได้ใกล้เคียงกับการอธิบายด้วยคณิตศาสตร์ ซึ่งเป็นเรื่องเหลือเชื่อมากที่เขาสามารถแสดงการเคลื่อนไหวของแสงออกมาได้เช่นนั้น และเป็นเฉพาะภาพที่เขาวาดเมื่อตกอยู่ในภาวะจิตสับสนเท่านั้น เพราะเมื่อลองเปรียบเทียบกับภาพที่เขาวาดตอนที่จิตใจสงบนิ่ง เช่น ภาพเหมือนของตนเองที่สูบไปค์ ภาพนั้นมีควันที่พ่นลอยเป็นวง แต่ไม่มีรูปแบบใกล้เคียงกับหลักการทางวิทยาศาสตร์ หรือแม้แต่ภาพ Scream ของ Edvard Munch ซึ่งมีลักษณะของ Turbulence เช่นกัน ก็ไม่พบรูปแบบการเคลื่อนไหวตามหลักการนี้แต่อย่างใด

วารสาร Nature ได้เขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ด้วยว่า หลักการที่อธิบายความสัมพันธ์ของความเร็วของการไหลและอัตราแรงต้าน ได้ถูกคิดขึ้นโดยนักวิจัยชาวรัสเซีย Andrei Kolmogorov ช่วงทศวรรษ 1940s ความสัมพันธ์นี้เรียกว่า Kolmogorov scaling สิ่งที่พบในงานของแวนโกะคือภาพแสดงการเคลื่อนไหวที่ถูกต้องตามหลักการนี้นั่นเอง และเป็นเพียงคนเดียวที่พบว่าสามารถวาดภาพได้ตรงตามทฤษฎีนี้สามารถตรวจสอบได้จากภาพต่างๆ เช่น The Starry Night, Road with Cypress and Star และ Wheat Field with Crows ( ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าศิลปินคนอื่นวาดภาพไม่ตรงตามความเป็นจริงนะคะ เพียงแต่ไม่ตรงกับทฤษฎีที่นักวิจัยเขาศึกษาเท่านั้น เพราะยังมีงานของศิลปิน เช่น Jackson Pollock ซึ่งมีรูปแบบ fractal patterns นั่นเอาไว้เป็นอีกเรื่องแล้วกัน ไม่อยากบอกว่างานของ Pollock ก็ไม่ค่อยชอบเหมือนกัน ไม่มีอารมณ์ศิลป์แนวนี้เลยนะเรา)
ถ้าจะดูเพิ่ม เวอร์ชั่นง่าย ตามไปดูแอนิเมชั่นใน YouTube ลิงก์นี้นะคะ
ถ้าจะเอาชนิดมีคำอธิบายละเอียดขึ้นอีกนิดแต่ยังเข้าใจง่ายก็ลิงก์นี้ค่ะ บทความในวารสารเนเจอร์
http://www.nature.com/n…/2006/060703/full/news060703-17.html
ลิงก์ของ Museum of Modern Art http://www.moma.org/…/vincent-van-gogh-the-starry-night-1889
และถ้าจะอ่านเวอร์ชั่นงานวิชาการให้ตามไปค้นงานปี 2006 เรื่องนี้ค่ะ http://arxiv.org/abs/physics/0606246

Wednesday, November 02, 2016

การนั่งย่อคุกเข่าวันทยาหัตถ์

บันทึกไว้ในวันที่ 15 ตลาคม 2559
เมื่อวานตอนที่ดูทีวีถ่ายทอดสดขบวนพระบรมศพ ได้เห็นทหารเรือ่คุกเข่าลงและวันทยาหัตถ์ ยังนึกในใจว่าเป็นการแสดงความเคารพที่งดงามมาก ดูเป็นการให้เกียรติสูงสุด แต่ไม่เคยเห็นทหารทำความเคารพด้วยท่านี้มาก่อน วันนี้มีการชี้แจงโดยรองเลขาธิการทหารเรือ ตามนี้เลยค่ะ
"วันนี้(15ต.ค.59)พล.ร.ท.จุมพล ลุมพิกานนท์ รองเสนาธิการทหารเรือ เปิดเผยถึงท่าทำความเคารพทหารเรือในช่วงที่มีขบวนพระบรมศพเคลื่อนผ่านด้วยการนั่งย่อคุกเข่าวันทยาหัตถ์ว่าเป็นท่าไม่มีในรูปแบบการเคารพ แต่เนื่องจากมีประชาชนจำนวนมากมาร่วมในพิธีตลอด 2 ฝั่งถนน ทำให้กองอำนวยการร่วมทหารเรือ ทหารบกและตำรวจ จึงมีมติร่วมกันว่าจะใช้รูปแบบของการทำความเคารพด้วยการย่อคุกเข่าวันทยาหัตถ์ เพื่อไม่ให้บังประชาชน
ที่สำคัญท่านี้เป็นท่าที่เคยใช้ในการทำความเคารพและถวายงานที่อย่างเคยปฎิบัติมา เช่นการรับพระราชทานกระบี่ ซึ่งการทำความเคารพไม่จำเป็นต้องใช้ท่ายืนเพียงอย่างเดียว ต้องดูที่สถานการณ์และความเหมาะสมด้วย" #MyKing

แม่พลอยเมื่อสิ้นแผ่นดินที่หนึ่ง


แม่พลอยเป็นสาวชาววังในยุคสมัยรัชกาลที่ 5 ที่ใช้ชีวิตใต้เบื้องยุคลบาทพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลต่อมารวมได้ถึงสี่แผ่นดิน ชีวิตของแม่พลอยเป็นตัวละครสมมติในนวนิยายเรื่อง “สี่แผ่นดิน” ของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธ์ ปราโมช ที่มีผู้อ่านติดตามใส่ใจและห่วงใยเสมือนแม่พลอยมีตัวตนจริง และยังสงสัยกันว่าน่าจะมีใครสักคนในยุคสมัยนั้นเป็นต้นแบบ ในเรื่องนี้หม่อมราชวงศ์คึกฤทธ์ ปราโมชได้บอกกล่าวไว้ชัดเจนว่า แม่พลอยเป็นตัวละครสมมติไม่มีตัวตนจริง แต่สิ่งที่เป็นของจริงคือฉากที่บรรยายเหตุการณ์ต่างๆในหนังสือ เพราะผู้ประพันธ์ตั้งใจจะให้เป็นที่รวบรวม “รายละเอียดเบื้องหลังประวัติศาสตร์”
ฉันได้อ่านหนังสือเรื่องสี่แผ่นดินตั้งแต่อายุน้อยๆประมาณเดียวกับอายุแม่พลอยตอนเด็กๆในเรื่อง สิ่งที่แม่พลอยได้บรรยายจากสายตาของเด็กๆช่างงดงาม เมืองไทยในยุคสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นเมืองที่แสนจะสงบร่มเย็น มีความเป็นไทย มีธรรมชาติ มีวิถีแห่งไทย โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง โดยเฉพาะในวังหลวงที่แม่พลอยได้เข้าไปอาศัย ความละเมียดละไม วิจิตรบรรจง และความประณีตที่แม่พลอยได้ฝึกฝนในการเป็นสาวชาววัง ชีวิตชาววังที่มีสิทธิ์ใกล้ชิดเจ้าชีวิตของคนไทย ชีวิตที่ได้เห็นพระราชพิธีที่คนภายนอกจะไม่มีโอกาสได้เห็นอย่างใกล้ชิด ได้เห็นสิ่งที่ยอดเยี่ยม แปลกใหม่ที่เข้ามาทำให้เมืองไทยเปลี่ยนโฉมและพัฒนาในด้านต่างๆ ทำให้ฉันนึกภาพตามได้อย่างง่ายดายทั้งๆที่ไม่ได้อยู่ในยุคสมัยนั้น
นึกดูซิว่าแค่ของฝากที่แม่แช่มนำมาให้พลอยหลังจากฝากพลอยถวายตัวให้เสด็จชุบเลี้ยงก็เป็นของที่ต้องใช้เวลาใช้ความคิด
“แล้วแม่ก็หยิบชะลอมเล็กๆน่าเอ็นดูเป็นที่สุดขึ้นมาหลายชะลอม ของในชะลอมนั้นเมื่อพลอยแลเห็น ก็เกือบจะลิงโลดด้วยความดีใจ ชะลอมหนึ่งมีปลากรอบตัวเล็กๆเท่านิ้วก้อย เข้าไม้ตับไว้อย่างกับของจริง อีกชะลอมหนึ่งมีมะขามป้อมลูกเล็กๆได้ขนาด อีกชะลอมหนึ่งใส่ไข่เต่าเปลือกขาวสะอาด ส่วนอีกชะลอมหนึ่งนั่นใส่ไข่เค็มทำด้วยไข่นกกระจาบ พอกขี้เถ้าลูกเล็กๆไม่เกินปลายหัวแม่มือ แต่สิ่งสุดท้ายที่แม่ล้วงจากชะลอมคือทุเรียนกวนพวงหนึ่ง ห่อกาบหมากเรียบร้อยเป็นห่อเล็กๆ แต่ละห่อน่าเอ็นดูเพียงจะขาดใจ”
โลกของแม่พลอยช่วงแรกอยู่ในวังหลวงใต้ร่มพระบารมีอย่างเป็นสุข
จนเมื่อแม่พลอยออกเรือน ออกมาอยู่นอกวังกับคุณเปรม มีครอบครัว มีลูก ชีวิตของแม่พลอยก็เป็นหนึ่งในข้าแผ่นดินที่ใช้ชีวิตตามวิถีคนกรุงเทพยุคนั้น ได้เห็นชีวิตของชาวบ้านร้านตลาด ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสบายตามฐานะ
และแล้วก็มาถึงวันที่แม่พลอยต้องพบกับความสูญเสียที่เป็นความรู้สึกร่วมกันกับคนไทยทั้งประเทศ เมื่อรัชกาลที่ 5 ประชวรและเสด็จสวรรคตในวันที่ 23 ตุลาคม 2453 ในหนังสือ “สี่แผ่นดิน” บรรยายไว้ว่า
“ วันนั้นอากาศมืดครึ้มไปทั่ว ไม่มีแสงแดด ทำให้แลดูครึ้มเยือกเย็น ลมเหนือที่เริ่มจะพัดในเดือนตุลาคมหยุดนิ่งในวันนั้น แม้แต่ใบไม้สักใบก็ไม่มีกระดิก เสียงนกเล็กๆที่เคยร้องอยู่ตามพุ่มไม้ก็เงียบหายไป ธรรมชาติทั่วทั้งกรุงเทพดูเหมือนจะแสดงความโศกสลดในความวิปโยคอันยิ่งใหญ่ ”
“ อย่างน้อยที่สุดที่ตนจะทำได้ในวันนี้ก็คือไปคอยเฝ้าถวายบังคมพระบรมศพตามข้างถนนหนทาง ยังดีกว่านั่งอยู่ที่บ้านโดยไม่มีจิตใจจะทำอะไรถูก พอนึกออกพลอยก็รีบแต่งกายเข้าเครื่องไว้ทุกข์ บอกนางพิศให้ไปตามรถม้ามาคันหนึ่ง แล้วก็ขึ้นรถม้าออกจากบ้านสองคนกับนางพิศมุ่งหน้าไปทางถนนราชดำเนิน
ตลอดทางที่พลอยผ่านมีแต่ชาวบ้านร้านตลาด แต่งกายไว้ทุกข์นุ่งดำเดินมุ่งหน้าไปทางเดียวกันทั้งสิ้น ทุกคนมีใบหน้าอันเศร้าหมอง ส่วนมากถือดอกไม้ธูปเทียนในมือ บางคนเดินร้องไห้ดังๆ ทุกคนต่างมุ่งหน้าไปคอยกระบวนแห่พระบรมศพ เพื่อถวายบังคมสักการะในวันนี้”
“พอพระยานมาศเคลื่อนมาอยู่ตรงหน้า พลอยก็ก้มลงกราบถวายบังคม และเมื่อเงยหน้าขึ้น ตาก็พอดีไปจับอยู่ที่ใบหน้าทหารที่ยืนรายทาง ทหารคนนั้นยืนถือปืนกลับปลายกระบอกปืนก้มหน้าไม่มีกระดิกตามที่ได้รับคำสั่ง ใบหน้าของทหารคนนั้นเป็นใบหน้าของเด็กหนุ่มชาวบ้านนอกเหมือนกับเด็กหนุ่มคนอื่นๆที่เกณฑ์เข้ามา แต่สิ่งที่เข้ามาปลดปล่อยความรู้สึกของพลอยให้ประทุออกมาทั้งหมดก็คือใบหน้าของทหารหนุ่มนั้น มีทางน้ำตาเป็นทางยาวไหลออกมาจากเบ้าตาทั้งสองข้างและน้ำตานั้นไหลอยู่ไม่ขาดสาย พลอยเป็นคนไม่ค่อยแสดงความรู้สึกออกมาให้คนอื่นเห็น แต่เมื่อเห็นหน้าทหารคนนั้นด้วยแสงเทียนที่ถืออยู่ พลอยก็ปล่อยโฮออกมาอย่างหมดอับอาย”
ในความเป็นเด็กสิบขวบ ฉันอ่านมาถึงตอนนี้ ก็อ่านผ่านเลยไป เพราะไม่ได้มีความรู้สึกร่วมใดๆ
เหตุการณ์ในวันที่ 23 ตุลาคม 2453 เหมือนกลับมาซ้ำรอยเดิมในวันที่ 13 ตุลาคม 2559 เวลาผ่านไป 106 ปีแล้ว นับจากวันที่แม่พลอยไปคอยถวายบังคมพระบรมศพ และฉันได้อ่านหนังสือสี่แผ่นดินมาหลายสิบรอบแล้วเช่นกัน แต่การกลับมาอ่านหนังสือ “สี่แผ่นดิน” ในวันนี้ ฉันร้องไห้น้ำตาไหลไม่ขาดสาย และคงจะร้องไห้อีกหลายครั้งหากกลับมาอ่านอีกในอนาคต
เข้าใจแล้วกับความรู้สึกที่ว่า “เกิดมาในแผ่นดินของท่านที่รู้สึกว่าเป็นสุขมาแต่น้อยคุ้มใหญ่ มีชีวิตอยู่ได้ด้วยความแน่นอนเหมือนกับว่ามีต้นโพธิ์ต้นใหญ่คุ้มกันอยู่ให้ได้รับความร่มเย็นเพราะพระบารมี”
เนื้อหาบางส่วนคัดจากหนังสือ “สี่แผ่นดิน” ของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช
ภาพจาก เว็บไซต์ https://news.thaipbs.or.th/content/256946
วิดีโอการเคลื่อนพระบรมศพจากโรงพยาบาลศิริราชไปที่พระบรมมหาราชวัง https://www.youtube.com/watch?v=ltWPF_I1Swk

Saturday, July 16, 2016

Digital Nomad ...คนรักการเที่ยวและทำ(งาน)ยุคดิจิตัล

ปัจจุบันมีไลฟ์สไตล์แบบหนึ่งที่เป็นที่นิยมกันคือการทำงานโดยไม่ต้องผูกติดกับออฟฟิศ ไม่ต้องทำงานประจำ ได้เดินทางไปยังที่เราชอบตลอดเวลา ทำงานคนเดียวหรืออาจจะเป็นกลุ่ม ทำงานโดยเน้นการติดต่อสื่อสารผ่านอินเทอร์เน็ต คนที่ทำงานแบบนี้มักเป็น freelance เจ้าของกิจการ start up หรือทำธุรกิจออนไลน์ที่ขาย digital content เช่น ขายภาพ เขียนโปรแกรม เขียนบล็อก ฯลฯ สถานที่ทำงานคือที่ใดก็ได้ที่สามารถติดต่อสื่อสารอินเทอร์เน็ตได้ เช่น ร้านกาแฟ  ห้องสมุด ออฟฟิศให้เช่า หรือแม้แต่ในที่พัก

นึกถึงบรรยากาศประมาณว่า วันหนึ่งเราตื่นขึ้นมาตอนเช้าในที่พักริมชายหาด ได้ใช้เวลาแบบไม่ต้องเร่งรีบ โต๊ะทำงานของเราอาจจะเป็นโต๊ะนั่งเล่นซักตัวริมทะเล มีกาแฟให้ดื่ม มีเสียงคลื่นเบาๆ ทำงานไปเท่าที่มีไฟอยากทำ เบื่อบรรยากาศแบบนี้ก็อาจจะย้ายที่ทำงานไปทำงานในเมืองตามร้านกาแฟ หรือถ้าต้องการออฟฟิศจริงๆก็ไปเช่าออฟฟิศตาม Coworking space ที่ในเมืองไทยตอนนี้มีการขยายตัวให้บริการขึ้นมาก  อยู่ริมทะเลซักพักอยากเปลี่ยนไปเที่ยวภูเขา ก็แค่เปลี่ยนที่พักแต่ยังทำงานได้ตามปกติ และถ้าอยากท่องเที่ยวเห็นโลกให้มาก ก็ย้ายที่ทำงานข้ามประเทศ อยู่ประเทศนี้สองสามเดือน อยู่อีกประเทศอีกสองสามเดือน เป็นต้น

แนวคิดแบบนี้มีมานานแล้ว มีคนทำตัวเป็น Digital Nomad อยู่จำนวนมากในโลกนี้ ปัจจุบันมีงานที่ทำในลักษณะออนไลน์มากขึ้นการแชร์ข้อมูลให้กัน มีถึงขนาดการจัดประชุมกัน เช่น DNX - Digital Nomad Conference จัดมาสองปีแล้วที่เบอร์ลินและกรุงเทพ ปีหน้านี้ ปี 2017 จะจัดที่โปรตุเกส

จริงๆทุกยุคสมัยคนที่ต้องทำงานและเดินทางมากๆก็มีมาโดยตลอด แต่ด้วยความก้าวหน้าของไอทียุคนี้ ทำให้โอกาสแบบนี้ขยายตัวเปิดโอกาสให้คนจำนวนมากทำตามความฝันของตัวเองได้นะคะ  ยุคนี้มีสมาร์ทโฟน มีอินเทอร์เน็ต มี social media มีบริการคลาวด์ มี VoIP ชีวิตเราติดต่อกันง่ายขึ้นทางดิจิตัล รู้จักแต่ตัวตน avatar .....แต่กลับน้อยลงในเชิงปฏิสัมพันธ์กับคนจริงๆ
===============================================================
เขียนบันทึกนี้เพราะเพิ่งอ่านบทความในบีบีซีที่พูดถึงการปรับตัวของคนที่เป็น Digital nomad  เมื่อเที่ยวจนอิ่มตัวและต้องการกลับมาลงหลักปักฐานบางครั้งก็ไม่ง่าย ถึงแม้จะเป็นการกลับบ้านก็ตามค่ะ
http://www.bbc.com/capital/story/20160706-the-problem-expats-find-with-returning-home


ป,ล, เห็นนักศึกษาของเราจำนวนหนึ่งทำตัวคล้าย Digital nomad คือ ไม่ค่อยมาเรียน พบเห็นข่าวคราวการท่องเที่ยวจากเฟสบุ๊กเสมอๆ  อืมม์ มันยังไม่ใช่รึเปล่าคะ เรียนจบก่อนค่อยเป็นก็ได้นะคะ.... J

Wednesday, June 01, 2016

ดาวอังคารใกล้โลก

31 ฤษภาคม 2559 คืนนี้คืนอังคารสีชมพู........ออกมาดูดาวกันค่ะ 






คืนนี้ดาวอังคารจะมองเห็นชัดมากนะคะ ตอนนี้อยู่ทางทิศตะวันออกสูงขึ้นมามากแล้ว จะเห็นไปตลอดคืนค่ะ ใครยังไม่ได้ออกมาดูดาวก็ยังมาดูทันนะคะ

ช่วงนี้ดาวอังคารเข้าใกล้โลกมากที่สุดในรอบ 11 ปี ถ้าออกไปดูตอนนี้ หันหน้าไปทิศตะวันออกเฉียงใต้นิดหน่อย ดาวอังคาร Mars จะเป็นดาวที่สว่างมากๆอยู่ด้านบน เป็นดาวที่แสงนิ่งๆไม่กระพริบนะคะ ใต้ลงมาจะเป็นกลุ่มดาวแมลงป่อง Scorpion เห็นเป็นแมลงป่องเต็มตัว สวยงามมากๆ ใกล้ๆหัวใจแมลงป่องจะเห็นดาวเสาร์ Saturn อยู่ทางซ้าย เป็นดาวสว่างไม่กระพริบแสงเช่นกัน เพราะเป็นดาวเคราะห์

ดาวอื่นๆที่น่าดูมากเพราะคืนนี้ฟ้าโปร่ง มองไปจากกลางฟ้าไปทางทิศตะวันตก จะมีดาวใหญ่ไม่กระพริบแสงอีกดวง ดวงนั้นคือ ดาวพฤหัสบดีค่ะ อยู่ในกลุ่มดาวสิงโต

มองไปทิศใต้ จะเห็นดาวสว่างมากสองดวงเหมือนเป็นเส้นชี้ไปสู่กลุ่มดาวชุดหนึ่งที่มองเห็นดาวสี่ดวงเรียงกันเป็นรูปไม้กางเขน นั่นคือกลุ่มดาวกางเขนใต้ Southern Cross ค่ะ สวยมากๆ ชัดมากด้วย


หันไปทิศเหนือ คนที่บ้านอยู่กลางทุ่งจะสามารถมองเห็นดาวเหนือได้อยู่ขึ้นจากขอบฟ้ามาหน่อยนึงค่ะ แต่ดาวที่เห็นชัดมากคือกลุ่มดาวหมีใหญ่ Big Dipper คนไทยเรียกว่า ดาวจระเข้ ตอนนี้ทำตัวเหมือนกลอนที่เคยท่องตอนเด็กๆเลยค่ะ เพราะตอนนี้จระเข้ "ศีรษะตกหันหางขึ้นกลางหาว" จริงๆด้วย :
ออกมาดูดาวกันเถอะ ‪#‎ดูดาวกันเถอะ‬

เกือบตีห้า ชะโงกมาดูท้องฟ้าอีกครั้ง จันทร์เสี้ยวคืนแรมกำลังขึ้นทางทิศตะวันออก
มองไปทิศตะวันตกดาวอังคารกำลังจะลับขอบฟ้า ดาวแมลงป่องกำลังชูหางขึ้นและหันหัวปักลงทางทิศตะวันตก ตามรูป

ถ้ามองทิศเหนือตอนนี้ดาวจระเข้ตกลับขอบฟ้าไปแล้ว จะมีกลุ่มดาวแคสซิโอเปียหรือกลุ่มดาวค้างคาวขึ้นมาแทนเพราะสองกลุ่มดาวนี้อยู่ตรงข้ามกัน กลุ่มหนึ่งขึ้นกลุ่มหนึ่งจะลงค่ะ เป็นกลุ่มดาวที่มองแล้วสามารถบอกทิศเหนือคร่าวๆได้จากการลากเส้นตรงผ่านจุดหลักๆของกลุ่มดาวค่ะ

Tuesday, May 31, 2016

Embrace of the Serpent หนังอีกเรื่องที่ไม่ควรพลาด

หนังเรื่องนี้เป็นหนังอีกเรื่องที่ควรค่าแก่การชมเป็นอย่างยิ่ง ใช้ชื่อภาษาไทยว่า จอมคนป่าอสรพิษ หรือในภาษาสเปนคือ El abrazo de la serpiente เป็นหนังโคลอมเบีย ออกฉายในปี 2015 กำกับโดย ผู้กำกับ Ciro Guerra หนังได้รางวัล Art Cinema Award จาก้ิเทศกาลหนังเมืองคานส์ และเทศกาลหนังที่อื่นๆ ได้รางวัลการันตีมามากมาย การถ่ายทำใช้ฟิล์ม 35 ม.ม. นำเสนอหนังขาวดำซึ่งทำให้รู้สึกว่าเรื่องราวย้อนยุค และทำให้ภาพออกมาดูงดงามมาก

เนื้อหาเป็นเรื่องราวของ การามากาเต (Karamakate) ผู้เหลือรอดคนสุดท้ายของชาวอเมซอนเผ่าหนึ่ง ผู้มีเหตุให้ต้องนำทางนักผจญภัยสองคนผู้เข้ามาในอเมซอนต่างกรรมต่างวาระ คนหนึ่งเป็นนักชาติพันธุ์วิทยาเยอรมันเดินทางมาในปี 1909 อีกคนหนึ่งเป็นนักพฤษศาสตร์ชาวอเมริกันเข้ามาในปี 1940 ทั้งสองกรณีเป็นการบุกเข้าไปในป่าลึกเพื่อค้นหาต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ยากรูนา โดยหนังตัดฉากกลับไปกลับมาระหว่างสองช่วงเวลาเล่าเรื่องราวของสิ่งที่พบเห็นระหว่างการเดินทาง

สิ่งที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกร่วมได้อย่างมากคือความรู้สึกของคนพื้นเมืองที่ถูกนักล่าอาณานิคมเข้ามายึดครองและใช้แรงงานทาสเพื่อการทำสวนยาง อันเป็นสิ่งที่โลกต้องการมากในขณะนั้น การใช้ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสมัยใหม่ซึ่งเป็นสิ่งได้เปรียบของคนผิวขาวที่ทำให้คนพื้นเมืองไร้ทางสู้ การเข้ามาของผู้เผยแพร่ศาสนาชาวสเปนอันเข้มงวด ผู้เข้ามาด้วยความคิดว่าคนพื้นเมืองเป็นคนนอกรีต ป่าเถื่อน แต่ละฉากในหนังที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับคนงานกรีดยาง นักบวชสเปน ชาวโคลัมเบียผู้เข้ามาครอบครอง แสดงให้เห็นความแตกต่างทางความคิดขั้นพื้นฐานของคนพื้นเมืองและคนผิวขาว เห็นความโหดร้ายที่ชาวพื้นเมืองถูกกระทำโดยไม่มีความสามารถที่จะตอบโต้

เรื่องนี้จัดได้ว่าเห็นหนังดีที่ให้ความคิดในแง่มุมต่างๆได้มาก สามารถมองได้หลายมุมมอง ทั้งในมุมมองของประวัติศาสตร์ ชาติพันธ์ุ ศาสนา ปรัชญา การรู้แจ้ง และเทคโนโลยีที่สร้างความได้เปรียบให้ผู้ถือครอง

เรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากนักสำรวจอเมซอนตัวจริงสองคนคือ Theodor Koch-Grünberg และ Richard Evans Schultes

ความเห็นส่วนตัว:
ในมุมมองของคนที่อยู่ในวิถีไทย ชีวิตคนที่ห่างไกลความเจริญที่ถูกเอาเปรียบโดยคนที่มาจากเมืองเจริญกว่าไม่ใช่สิ่งแปลกสำหรับเรา พิธีกรรมความเชื่อต่างๆเทียบกับคนไทยก็ไม่ต่างกัน เราเองก็มีความเชื่อในลักษณะต่างๆที่สืบต่อกันมา สิ่งที่คนพื้นเมืองอเมซอนถูกกระทำ เป็นสิ่งที่คนพื้นเมืองในส่วนอื่นๆทั่วโลกถูกกระทำจากผู้ล่าอาณานิคมเช่นกัน
ยิ่งเมื่อลงไปถึงการเดินทางผ่านนิมิตแล้วกลับมาแทบจะทำให้เรามองเห็นภาพการรู้แจ้งทางศาสนาว่ามีลักษณะอย่างใด ดูหนังเรื่องนี้แล้ว เกือบจะนึกออกว่าการตรัสรู้แล้วรู้ทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นอย่างไร
คำพูดของตัวละครบางประโยคทำให้เรานึกถึงหลักธรรมชาติ ในขณะที่บางประโยคฟังแล้วทำให้นึกไปถึงกลศาสตร์ควอนตัมที่มองโลกและสิ่งที่เป็นไปในลักษณะที่ขัดกับความรู้สึกและความเข้าใจปกติของมนุษย์อย่างเราๆ เช่น คำถามว่าตลิ่งมีกี่ด้าน คำตอบของนักสำรวจคือ มีสองด้าน แต่ความเข้าใจของการามากาเตบอกว่ามีเป็นพันตลิ่งที่แตกต่างกัน
โดยสรุป ถ้าไม่ได้ดูถือว่าพลาดค่ะ

---------------------------------------
ปล.1 ไม่มีรูปประกอบโพสต์นี้ แต่จริงๆแล้วชอบโปสเตอร์ของหนังเรื่องนี้มาก ผู้วาดภาพโปสเตอร์ได้เขียนเล่าการวาดโปสเตอร์ของหนังเรื่องนี้ซึ่งใช้เวลาเพียง 24 ชั่วโมงเท่านั้น ลองตามไปอ่านดูในลิงก์ที่พันทิปนะคะ
http://pantip.com/topic/35136366

ป.ล. 2 ชื่อหนังมีที่มานะคะ Embrace of the serpent แปลได้ประมาณ อ้อมกอดของงู การโอบกอดของงู ซึ่งเมื่อเราได้รับการโอบกอดจากงูในตำนานผู้ลงมาจากทางช้างเผือกก็จะทำให้เราได้มองโลกจากอีกจุดเวลาและมุมมองที่ต่างไปค่ะ เหมือนที่ในหนังตอนท้ายที่อีวานได้รับประสบการณ์ใหม่ในการมองโลก ผู้กำกับให้สัมภาษณ์เรื่องตำนานไว้นะคะ
ในตำนานของอเมซอนเล่าขานกันมาว่า มีสิ่งที่มาจากทางช้างเผือกเดินทางมายังโลกด้วยงูยักษ์อนากอนดา พวกเขาลงมายังมหาสมุทรแล้วเดินทางสู่อเมซอน โดยแวะหยุดที่ชุมชนรายทางและได้ทิ้งผู้นำทางไว้เพื่อให้บอกเล่ากฏแห่งการอยู่อาศัยบนโลกนี้ ทำการเก็บเกี่ยวอย่างไร ตกปลาอย่างไรและล่าสัตว์อย่างไร จากนั้นพวกเขาก็รวมกลุ่มกันแล้วกลับไปสู่ทางช้างเผือก ทิ้งไว้แต่งูยักษ์อนากอนดาซึ่งได้กลายเป็นแม่น้ำ หนังที่หดตัวของงูยักษ์กลายเป็นน้ำตก
เขายังได้ฝากของขวัญสองสามอย่าง ทั้ง โคคา พืชศักดิ์สิทธิ์ ยาสูบซึ่งเป็นพืชศักดิ์สิทธิ์อีกชนิดหนึ่งและ yagé ซึ่งเปรียบเสมือน ayahuasca ซึ่งเป็นสิ่งที่ใช้เพื่อสื่อสารกับพวกเขาหากมีคำถามหรือข้อสงสัยเกี่ยวกับการอยู่ดำรงในโลก เมื่อใช้ yagé งูใหญ่จะลงมาจากทางช้างเผือกอีกครั้งและจะโอบกอดเราไว้ อ้อมกอดนั้นจะพาเราไปยังดินแดนอันไกลโพ้น ไปสู่จุดเริ่มต้นที่ซึ่งยังไม่มีสิ่งมีชีวิต ที่ซึ่งเรามองเห็นโลกในมุมมองที่ต่างออกไป

น้องกระดิ่งเงินกระดิ่งทอง ...ใครเลี้ยงบ้างคะ



สิ่งนี้คือน้องแมลงที่เชื่อกันว่าเป็นสัตว์มงคลค่ะ เลี้ยงไว้ให้โชคลาภ ทำมาค้าขึ้น ข่าวว่าในเมืองไทยนิยมเลี้ยงมาหลายปีแล้วเหมือนกัน ทำไมตัวเองไม่เคยเห็นก็ไม่ทราบ อาจจะไม่เคยสังเกต วันนี้ที่ได้เห็นเพราะไปซื้อเลนส์สายตาที่ร้านท็อปเจริญข้างตลาด แล้วก็ขอให้น้องที่ร้านช่วยดัดขาแว่นให้นิดนึงเพราะมันหลวมจะดัดเองก็กลัวจะหักคามือ
ระหว่างที่น้องเอาแว่นไปดัดขาให้ ตัวเองก็เหมือนคนตาบอด มองทุกอย่างเบลอๆเหมือนทำ photoshop เห็นอะไรก็ไม่รู้สีน้ำเงินๆ วางบนโต๊ะเตี้ยๆ คิดว่าเป็นของประดับก็เลยนั่งลงไปดูอย่างจริงจัง ปรากฏว่าสิ่งนั้นคือตัวแมลงกำลังเดินไปเดินมาบนกองข้าวตอกที่ใส่ขวดโหลไว้ มีดินทรายอยู่ชั้นล่างข้าวตอกอยู่ชั้นบน มีผ้าโปร่งสีน้ำเงินผูกปิดปากโหลไว้อีกที ก็เข้าใจไปว่าเป็นวิธีการดักแมลงอีกแบบ อยากรู้วิธีการก็ถามน้องเขาว่าสิ่งนี้คืออะไร ดักแมลงด้วยข้าวตอกนี่ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย
น้องเขาเลยแก้ความเข้าใจให้ว่า นี่เป็นแมลงเลี้ยงเป็นตัวนำโชคลาภ ซื้อมาจากอินเทอร์เน็ตแค่สิบตัวแล้วก็ออกลูกออกหลานมากมาย เลี้ยงด้วยข้าวตอกรสจืด ส่วนที่เห็นเป็นดินทรายนั่นเป็นมูลของแมลงค่ะไม่ใช่ดินจริงๆ น้องๆพวกนี้โตเร็วมาก แล้วก็จะออกไข่ เป็นตัวหนอน แก่ตัวก็เป็นกระดิ่งเงินกระดิ่งทองแบบนี้ ถามน้องเขาว่าแล้วถ้ามีเยอะๆทำยังไง ก็แมลงอะนะคะ ยังไงก็แพร่พันธ์ุเร็ว วงจรชีวิตก็ไม่น่าจะยาว น้องเขาบอกว่าก็แจกๆให้ลูกค้าที่สนใจไปบ้าง น้องเขาใจดีจะให้แมลงมาเลี้ยงด้วยนะคะ แต่ไม่ค่อยถนัดเลี้ยงแมลงก็ให้คนที่เขาสนใจดีกว่า
กลับมาค้นเน็ตดู พบว่าแมลงชนิดนี้เป็นประเด็นคุยกันมาหลายปีแล้ว บางคนบอกว่ามันคือหนอนนก บางคนบอกว่าไม่ใช่ ไปดูอันนี้มาดูจะเข้าเค้า เขาบอกว่าเป็นแมลงที่มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Martianus dermestoides อยู่ในวงศ์ Tenebrionidae คนละตัวกับหนอนนกซึ่งคือ Tenebrio molitor ซึ่งแม้จะอยู่ในวงศ์เดียวกัน แต่หนอนนก มีตัวอ่อนและตัวเต็มวัยใหญ่กว่ากระดิ่งทองมาก อันนี้ไม่รู้จริงๆ ไม่ค้นเพิ่มด้วย เพราะปกติก็ไม่ได้สนิทสนมขอบพอกับน้องหนอนขนาดนั้น
ถามน้องที่ร้านว่าตั้งแต่ได้มา มีโชคลาภจริงๆเหรอ น้องเขาก็บอกว่าดีขึ้นจริง  แต่อยากจะบอกว่าน้องที่ร้านเป็นคนอัธยาศัยดีค่ะ พูดจาดี ให้ความช่วยเหลือดีมาก ต่อให้ไม่มีสิ่งนำโชค ชีวิตก็น่าจะดีนะคะ
ใครไม่มีโชคลาภเอาเลย รีบไปขอน้องกระดิ่งทองมาเลี้ยงด่วนเลยค่ะ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนไม่ไหวแล้ว ก็ให้น้องแมลงช่วยแล้วกัน

The incredible beauty of math

ปกติเวลาเล่นอินเตอร์เน็ตก็จะเปิดหาอะไรน่าดูบน You Tube ไปเรื่อยๆ ดูจนเสียใจว่าเราเกิดเร็วไปมั้ย เพราะหลายๆเรื่องที่เคยเรียนมาแต่มองภาพไม่ออก ไม่มีใครยกตัวอย่างการนำไปใช้ให้เห็น ไม่มีใครมีเวลามาอธิบายความเป็นมาของเรื่องนั้นๆ (อย่าบอกว่าทำไมไม่ถาม....ถามแล้วค่ะ...) มาสมัยนี้มันช่างง่ายดายที่จะหาคำอธิบาย มีคนมาอธิบายแบบเห็นภาพ มี animation ให้ดู ยกตัวอย่างเช่น วิชาคณิตศาสตร์ ตอนม. 1 จำได้ว่าชอบวิชาคณิตศาสตร์ที่สุด เพราะอะไรๆก็เข้าใจง่ายมาก ยกความดีทั้งหมดให้อาจารย์ผู้สอนที่แสนจะใจดี สนุกสนาน แต่เมื่อเรียนสูงขึ้นคณิตศาสตร์มีความยากมากขึ้น แต่ความสามารถในการทำความเข้าใจของเราไปไม่ทันความยากขนาดนั้น วิชาที่ชอบที่สุดจึงเปลี่ยนจากคณิตศาสตร์ไปเป็นเคมี ซึ่งก็กราบอาจารย์อีกว่าทำอะไรให้เข้าใจได้ง่ายมากๆ

ตอนนี้จะกราบ You Tube ก็กระไรนะคะที่นำอาจารย์ดีๆออนไลน์มาให้ได้ศึกษามากเหลือเกิน 

คลิปนี้เป็นการบรรยายของ Dr. Margot Gerritsen จาก Standford Univ เป็นอีกคนหนึ่งที่ติดตามดูบน You Tube มาเรื่อยๆ เพราะสามารถอธิบายเรื่องยากๆให้เห็นภาพได้แบบชัดเจน แน่นอนว่ามันมีความยากในรายละเอียด แต่การที่เรามองเห็นภาพรวมแบบนี้มันทำให้คณิตศาสตร์ดูสวยขึ้นมามากจริงๆ

ตัวอย่างเช่น ตอนท้ายๆของคลิปนี้พูดถึงการทำ Library of Congress Subject Headings (LCSH) Visualization ของการแคตตาล็อกหมวดหมู่หนังสือของห้องสมุดรัฐสภาอเมริกันเพื่อให้เข้าใจโครงสร้างทั้งหมด โดยการจัดข้อมูลของ Subject header ภาพความสัมพันธ์ที่ได้ออกมาดูน่าตื่นเต้นมากเพราะมีลักษณะคล้ายกาแลกซี่ โครงการนี้มีนำเสนอบนอินเทอร์เน็ตนะคะ เข้าไปดูได้ ข้อมูลที่เห็นเป็นการ แสดงความสัมพันธ์ของหัวเรื่องมากกว่าหนึ่งแสนหัวเรื่อง เราสามารถขยายภาพแล้วดูเฉพาะหัวเรื่องที่เราสนใจได้ มีบรรณารักษ์กี่คนคะที่เคยเห็นภาพการเชื่อมโยงของเนื้อหาที่เราจัดเก็บในห้องสมุดแบบเป็นรูปธรรมแบบนี้ จากภาพที่ได้สามารถนำไปวิเคราะห์ได้ว่าจุดใดที่มีการเชื่อมโยงน้อย ควรจะดำเนินการอย่างไรต่อไป เพราะยิ่งเชื่อมโยงมากเท่าไรการค้นหาสิ่งที่เราสนใจก็จะค้นได้ง่ายและมีให้ค้นมากขึ้นใช่ไหมคะ ศูนย์บรรณฯอยากได้ visualization แบบนี้ซักชุดไหมคะ

ไม่รักคณิตศาสตร์ไม่ได้แล้ว
https://www.youtube.com/watch?v=s6p864XVxeU

Thursday, April 28, 2016

Note for Play+Learn #1 (Einstein)

แนะนำคลิปวิดิโอให้น้องเพลินไปดูดีกว่า....

https://www.youtube.com/watch?v=1CYqBNgqJ1A

รื่องนี้ก็เป็นหนังน่าดูเรื่องนึง ที่อธิบายสมการของไอน์สไตน์ได้แบบเข้าใจง่าย พูดถึงชีวิตของไอน์สไตน์กับการค้นพบสมการ E= mc2 ของเขา เรื่องนี้วนเวียนกับสถานที่หลายแห่งในยุโรป(เผื่อหน่องน้องจะตามไปดูอีกครั้งเพื่อไปซาบซึ้งในรายละเอียด) มีตั้งแต่ที่ Bern, Munich, Zurich,Paris,London มีหลายที่ที่หน่องน้องเคยไปเนอะ

เรื่องนี้เล่าถึงการค้นพบสมการของไอน์สไตน์ โดยแยกไปดูตัวแปรแต่ละตัวว่ามีที่มาอย่างไร มีทั้งเรื่องของ ...

E Energy คือการทดลองของฟาราเดย์ที่พบความสัมพันธ์ของแม่เหล็กและไฟฟ้า (ปัจจุบันยังมีเลกเชอร์ที่ฟาราเดย์เซ็ตขึ้นตั้งแต่ปี 1825 คือ Christmas Lecture ของ Royal Institute หาดูได้ใน Youtube น่าสนใจมาก)

มีเรื่องของ M Mass คือการค้นพบกฏการทรงมวลของสสารของลาวัวซิเยร์(มีแลปแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ art and craft ที่ปารีส ครั้งหน้าไปอย่าลืมแวะไปดู)

แล้ววกกลับมาที่เรื่องของ C Speed of light ก็เป็นการค้นพบของฟาราเดย์ที่ Maxwell นำไปต่อยอดจนกลายเป็นศาสตร์ Electromagnetic ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับความเร็วแสง (Light is another form of electromagnetic wave)

ส่วนตัวสุดท้ายในสมการคือ 2 squared มาจากผลงานของเอมิลี หญิงสาวตระกุูลสูงผู้ได้รับการศึกษาสูงมากของฝรั่งเศส เธอได้รับการกล่าวถึงโดยวอลแตร์ว่าเป็น "a great man whose only fault was being a woman" (http://www.singingbluejay.blogspot.com/.../%E0%B8%A7%E0... ) เธอศึกษางานของนิวตัน งานของไลซ์นิชในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ squared และงานของนักวิทยาศาสตร์ดัชต์ Willem 's Gravesande ที่พูดถึง kinetc energy การตกของบอลพิสูจน์ว่าแนวคิดของไลซ์นิชถูกต้อง

จากความรู้ของคนในอดีต ไอน์สไตน์ได้คิดในมุมมองใหม่ และได้สมการที่รวมทุกอย่างลงในรูปแบบง่ายๆ E=mc2

การพิสูจน์งานของไอน์สไตน์น่าจะกินเวลายาวนาน แต่เนื่องจากเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 และในช่วงนั้นมีนักฟิสิกส์หญิงชื่อ Lise Meitner ผู้ค้นพบการเกิด nuclear fission ลองคิดซิว่าถ้าเราแยกอะตอมหนึ่งอะตอมออกจากกันเป็นสองส่วน พลังงานที่เกิดขึ้นจะมากมายแค่ไหน มันเป็นไปตามสมการของไอน์สไตน์นั่นเอง (คนนี้เก๋มากๆ มีธาตุชนิดใหม่ที่ได้รับการตั้งชื่อว่า meitnerium เป็นเกียรติแก่เธอเมื่อปี 1997 จะมีใครซักกี่คนในโลกมีธาตุเป็นของตัวเองแบบนั้น และเป็นคนที่ไอน์สไตน์เรียกว่า German Marie Curie)

หลังจากการค้นพบที่จะแยกอะตอมได้ นักฟิสิกส์ทั่วโลกก็สามารถหาวิธีการที่จะสร้างการแยกอะตอมด้วยวิธีการอื่น ด้วยธาตุอื่น และระเบิดปรมาณูก็ุถูกสร้างขึ้นด้วยความสำเร็จของการเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์นี้เอง

เรื่องนี้สนุกดีนะ เราเห็นว่านักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียง บางคนก็รู้จักกันในรูปแบบต่างๆ เช่น ฟาราเดย์จะเป็นผู้ช่วยของเซอร์ฮัมฟรีย์ แต่ไม่ได้รับการยกย่อง ในขณะที่เมื่อแก่ตัวลง ฟาราเดย์เป็นเพื่อนต่างวัยกับแมกซเวลล์และดีกันมาก เอมิลีและวอลแตร์ก็มีความสัมพันธ์กัน ไอน์สไตน์และแมก แพลงค์ก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ไมท์เนอร์ก็เคยเป็นผู้ช่วยของแพลงค์

Btw,ไอน์สไตน์ตายในปีที่ป้ามิลินท์เกิด ปี 1955 ค่ะ

Wednesday, April 06, 2016

Dog Tag....อันเนื่องมาจากซีรี่ส์เกาหลี

สิ่งนี้คือ Dog tag ค่ะ เป็นป้ายแขวนคอบอกข้อมูลบุคคล ใช้ในวงการทหาร โดยทหารจะห้อย dog tag นี้ไว้ประจำตัว ในซีรี่ส์เรื่อง The Descendants of the Sun มีฉากที่พระเอกต้องเปลี่ยนชุดทหารเป็นชุดดำเพื่อไปช่วยนางเอก พระเอกก็จะถอดสร้อยที่ห้อยป้าย dog tag (ที่มีอยู่สองชิ้น)ออกเพื่อไม่ให้ยืนยันตัวตนได้ หรือแม้แต่ตอนที่จ่าซอนำทีมทหารหน่วยรบพิเศษไปช่วยพระเอกก็ยังถอดแท็กนี้ฝากไว้ที่มยองจู จนเมื่อกลับมามยองจูก็สวมสร้อยคืนให้ ฟินเนอะ... คืนนี้รอดูต่อ...

การใช้งาน dog tag คือ ในยามสงครามหากมีทหารเสียชีวิตจะมีการนำแท็กอันหนึ่งไปแล้วทิ้งแท็กอีกอันไว้ที่บุคคลนั้น เป็นการยืนยันตัวตนค่ะ จะมีข้อมูล ชื่อ รหัสประจำตัว สังกัด หมู่เลือด ประมาณนั้น บางประเทศไม่ได้มีแต่แบบที่ห้อยคอมีแบบที่ติดกับรองเท้าด้วยข้างละอัน รวมติดตัวไปสี่อัน คือถ้าที่ห้อยคอหายไปสามารถนำแท็กอีกชุดมาใส่ไว้ในปากทหารที่เสียชีวิตเป้นการระบุตัวตนได้
และบางประเทศไม่ได้ห้อยแท็กสองอัน แต่จะห้อยแท็กอันเดียวที่สามารถหักครึ่งได้

ส่วนทหารไทย ข่าวว่าแต่ก่อนไม่มีเพราะมีข้อมูลบุคคลบนเสื้อผ้าหรือบัตรอยู่แล้ว แต่เคยเห็นคนมาบอกในกระทู้บนเน็ตว่าเดี๋ยวนี้ทหารไทยก็มีใช้เหมือนกัน อันนี้ไม่ทราบค่ะ ไม่ค่อยได้ใกล้ชิดทหาร แฮ่... ใครทราบบอกด้วย

และที่เรียกกันว่า dog tag เพราะมันหน้าตาเหมือนป้ายของน้องหมานะคะ smile emoticon

ส่วนตัวมี dog tag กับเขาหนึ่งอัน ทำไว้ตอนไปดู Air show ที่ Marine Corps Air Station El Toro ในงานจะมีทหารตั้งบู้ททำ Dog Tag ให้ด้วย อันละห้าเหรียญ ที่นั่นเป็นหน่วยนาวิกโยธินสหรัฐ เราเป็นประชาชนธรรมดา แท็กที่ได้ก็เลยมีข้อมูลของตัวเอง มีชื่อ หมายเลข Social security number กลุ่มเลือด ศาสนา แล้วเขาก็ใส่สังกัดให้เป็น USMC ด้วย เก๋ๆ เอามาใช้เป็นพวงกุญแจ เวลาทำกุญแจหายเขาจะได้ส่งคืนถูกคนค่ะ smile emoticon

Saturday, March 26, 2016

แล้วก็เกิดเหตุที่บรัสเซลล์ 22 March 2016 :(

ไม่ได้มาอัพเดตนาน โพสต์สุดท้ายก่อนหน้านี้คือเรื่องเหตุระเบิดในปารีส ไม่คิดเลยว่าโพสต์นี้จะเป็นเรื่องต่อเนื่องว่าเกิดเหดุวางระเบิดสนามบิน และสถานีรถไฟไต้ดิน ที่บรัสเซลล์ วันที่ 22 มีนาคม 2559

22 มีนาคม 2560
ไม่น่าเชื่อ  แต่ในวันเดียวกัน ห่างมาอีกหนึ่งปี คราวนี้เป็นคิวของเหตุ London attack ในกรุงลอนดอน มีผู้ก่อการร้ายขับรถชนคนเดินถนนบนสะพานข้ามแม่น้ำเทมส์ใกล้รัฐสภาอังกฤษ จากนั้นได้ลงจากรถไปแทงเจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิตอีกหนึ่งคนก่อนจะถูงยิงเสียชีวิต เหตุการณ์นี้ กลุ่ม IS อ้างความรับผิดชอบ และผู้ก่อเหตุมาจากครอบครัวผู้อพยพ แต่เกิดในอังกฤษ

Credit: http://www.bbc.com/news/uk-39363297