Monday, November 01, 2010

ถึงเวลาของภาคใต้

ภาพถ่ายหน้ามอ ตอนเย็นวันที่ 1 พ.ย.

ทะเลสาบหน้ามอ สถานการณ์ยังปกติ

ก่อนหน้าื่นี้มีแต่ข่าวน้ำท่วมภาคอื่นตั้งแต่ ภาคกลาง โคราช ไปอีสาน ปีนี้น่ากลัวมาก แทบจะเป็นน้ำท่วมรุนแรงที่สุดที่เคยเจอ จนสองสามวันนี้ภาคใต้ก็เจอหน้าฝนแรงๆกับเขาเหมือนกัน

ฝนตกต่อเนื่องมาสามวันแล้ว ไม่เห็นดวงอาทิตย์เลย แต่ที่ท่าศาลาน้ำยังไม่ท่วมขัง ฝนตกแรง แต่ก็ไม่แรงมากเท่าที่อื่น

คืนนี้( 1 พ.ย.) มีข่าวว่าดีเปรสชั่นจะขึ้นฝั่งที่นครหรือสุราษฏร์ แต่น้ำเริ่มท่วมสงขลา หาดใหญ่ สตูล ปัตตานี ตั้งแต่ตอนค่ำ ดูข่าวก็น่ากลัวมาก
ช่วงสี่ทุมเศษ ข่าวทีวี NBT บอกว่าพายุขึ้นฝั่งไปแล้วทางสงขลา นครก็รอดไป ถือว่าเป็นฝนตกธรรมดา

2 พ.ย.
ตื่นเช้ามาฝนไม่ตกแล้ว แต่ฟ้าก็ยังมัวๆ วันนี้ไม่เห็นดวงอาทิตย์ทั้งวันอีกเช่นเคย ข่าวว่าเมื่อคืนศูนย์กลางพายุขึ้นฝั่งแถบสงขลา ระโนด ทางนครไม่มีอะไรมาก ไฟฟ้าดับๆติดๆเรื่อยๆ รวมถึงที่ทำงานด้วย

คลองใกล้ๆบ้านน้ำเอ่อประมาณนี้ ดินที่ถมที่นั่นก็ถมปิดทางน้ำย่อย กำลังรอดูเหมือนกันว่าจะทานกระแสน้ำได้จริงไหม
มีนักศึกษาโทรมาหาจากหาดใหญ่บอกว่าที่บ้านน้ำท่วมจะถึงคอแล้ว (เว่อร์ไปหรือของจริงเนี่ย) เจอกันเต็มๆหลายแห่งเลย ภาคใต้หกจังหวัดที่วิกฤตมีสงขลา ยะลา ปัตตานี นราธิวาส สตูล และพัทลุง สนามบินหาดใหญ่ก็ตลก เนื่องจากเป็นที่ดอน สนามบินยังเปิด เครื่องขึ้นลงได้ แต่ไม่มีรถไปรับจากสนามบิน....

จะห้าทุ่มแล้ว ดูรายการตอบโจทย์ทางไทยพีบีเอส มีคุณปราโมทย์ ไม้กลัด อดีตอธิบดีกรมชลประทาน และมี ร.ศ. ประเสริฐ ชิดพงศ์ สว.สงขลา มาคุยเรื่องน้ำท่วมหาดใหญ่ เขาบอกว่าปีนี้น้ำมาแรง ไม่เหมือนปี 43 และมาเร็วกว่าปกติ ซึ่งปกติควรมาหลังลอยกระทง แต่เป็นประเภทมาไวไปไว น้ำจะลดเร็ว เที่ยวนี้มีทั้งฝนตกแล้วมีดีเปรสชันซ้ำ จึงเกินความสามารถที่จะรองรับน้ำเพราะประเมินปริมาณน้ำเทียบกับปี 43 เที่ยวนี้มีน้ำมากกว่าจึงไม่พอ ถ้าจะไม่ให้น้ำท่วมหาดใหญ่ ก็ต้องทำเพิ่ม ขยายคลอง ความลาดเทของน้ำไปยังทะเลสาบสงขลาก็ทำได้ และระบบคันกั้นน้ำปกป้องระบบเศรษฐกิจที่เหมาะสม ( เช่นทำถนนกั้น หรือทำคันกั้น)

4 พ.ย.
แล้ว มวล.ก็ถึงเวลาประกาศหยุดการเรียนการสอนวันที่ 4-5 พ.ย. กลับมาอีกทีวันจันทร์ที่ 8 พ.ย. เพราะสถานการณ์น่าจะเอาไม่อยู่แล้ว



ดูรูปเพิ่มเติมได้ที่

Monday, June 14, 2010

สิงคโปร์.....สิงหปุระ....เกาะหมาก.... เทมาเส๊ก...เมืองน่ารักน่าชัง

ไปเจอว่าตัวเองเขียนเกี่ยวกับสิงคโปร์ไว้ตั้งแต่ 26 พฤศจิกายน 2550 ที่ bloggang ซึ่งไม่ได้อัพเดตนานมาก เลยเอามาแปะที่นี่ดีกว่า ความจริงก็มีในส่วนที่เขียนไปแล้ว แต่ก็มีบางส่วนที่ยังไม่ได้พูดถึง

===========================================

สิงคโปร์เป็นเมืองน่ารักน่าชัง น่ารักเพราะมีอะไรให้รักได้มาก น่าชังเพราะช่างเจริญเติบโตเกินหน้าเกินตาเสียนี่กระไร แถมยังอุตส่าห์มาซื้อกิจการใหญ่ๆของบ้านเราไปด้วย
สิงคโปร์เป็นเมืองที่ได้ไปเยี่ยมเยียนบ่อยที่สุด ถ้าเทียบกับเมืองอื่นๆ ( ก็แน่ละคะ...ใครจะได้ไปเที่ยวที่ซ้ำๆกันบ่อยๆ ) เพราะสิงคโปร์เป็นเมืองนอกที่ไปง่ายที่สุด มีสาเหตุที่ต้องไปมากที่สุด เช่น ไปอบรม ไป ทำงาน ไปดูงาน และอื่นๆตามที่จะสามารถอ้างได้


ครั้งแรกที่เห็นสิงคโปร์....ปี 1986...โอย..นานจัง แต่ตอนนั้นยังเด็กค่ะ สิงคโปร์เป็นเมืองที่ประทับใจมากๆในความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความสะอาด ความร่มรื่น ปีนี้ ปี 2007 ....สิงคโปร์ยังมีข้อดีเหมือนเดิม น่าแปลกใจจริงๆว่าเขาทำได้ยังไง

แต่สิงคโปร์ก็เป็นเมืองที่น่าเบื่อถ้าต้องอยู่นานๆ คุยกับเพื่อนๆชาวสิงคโปร์ เขาก็เบื่อ เขาชอบมาเที่ยวเมืองไทยมาก (พอๆกับที่เราชอบไปบ้านเขา) ไม่เคยคิดว่าจะไปอยู่สิงคโปร์ ถ้าให้ไปเที่ยวป๊อปแป๊บละก็เอา

ครั้งล่าสุดที่ไปเป็นช่วงเดือนเมษายนปีนี้ มีธุระการงานที่ต้องเดินทาง แต่เมื่อหมดงานก็เป็นเวลาของเรา....เย้

ต้องสารภาพว่าเหตุผลอีกอย่างที่ยอมไปสิงคโปร์ช่วงนั้นเพราะมีละครเพลง The Phantom of the Opera มาแสดงพอดี อิ อิ ที่บ้านเรียกว่า สบโอกาส

ละครเพลงเรื่องนี้มาเล่นที่สิงคโปร์ช่วงวันที่ 23 มี.ค. - 20 พ.ค. 2007 มีรอบบ่าย 2 และรอบ 2 ทุ่ม เล่นที่ The Esplanade เราได้ตั๋วรอบ 2 ทุ่มคืนวันที่ 18 เมษายน จำเป็นต้องเป็นรอบนี้เพราะเราไปดูกัน 6 คน มี 3 คนที่ต้องกลับตามกำหนดการปกติ เราได้ตั๋วราคา 95 เหรียญสิงคโปร์ (คูณด้วย 23.25 บาท) ที่นั่งเป็น Circle 3 ซึ่งอยู่ชั้นบนมากๆ สูงชนิดถ้าตกลงมาจากที่นั่งมีสิทธิคอหักตายเอาง่ายๆ เห็นคนแสดงตัวนิดเดียว มิน่าเขาถึงต้องใช้ binacular เวลาดูการแสดง แต่ของเรามีพี่เขาเอา binoc ขนิดส่องนกไปด้วย เห็นหน้าตัวละครชัดมาก
ต้องบอกว่าประทับใจมาก เป็นครั้งแรกที่ได้ดูละครบรอดเวย์ ครั้งต่อมามาดู Cats ที่เมืองไทยรัชดาลัยก็ไม่ประทับใจเท่า

การแสดงนี้อลังการงานสร้างจริงๆ ต้องยอมรับว่าไม่เคยได้ดูอะไรประทับใจขนาดนี้ การจัดฉาก เต็มสิบ เครื่องแต่งกายเต็มสิบ การร้องเพลงเต็มสิบ สรุปว่ารวมทุกอย่าง Perfect Ten!

หน้าโรงมีการขายของที่ระลึกเช่น CD เสื้อ หนังสือ (หนังสือเล่มละ 25 เหรียญ แต่เนื่องจากเคยซื้อเล่มเก่ามาได้ในราคาแค่ 4 เหรียญ Australia ก็เลยตัดใจซื้อไม่ลง) ของทุกอย่างแพงสำหรับคนไทย ก็เลยไม่ได้อะไรกลับมาเลย

..................................................................................

แต่เรื่องที่อยากเล่าคือเรื่องความน่ารักของสิงคโปร์ที่มีให้ชมในรูปของนกสวยมากมายที่ Jurong bird park และดอกไม้งามๆใน botanic garden

เดี๋ยวค่อยมาเล่าต่อนะ

Thursday, June 03, 2010

Farmville สนุกจัง ...

หลังจากเล่น Facebook มาพักนึง มีหลาย account ด้วยซ้ำ จนต้องลบ account พวกนั้นทิ้งเหลือไว้แต่ J ชุดเดียว ทิ้งไว้นานเหมือนกัน แล้วเพิ่งมาเริ่มเล่นจริงๆชนิดยอม add เพื่อนไม่นานมานี้ แล้วก็ได้เจอกับ Farmville


ได้ยินมานานแล้วว่าคนเล่น Facebook มาปลูกผักกันมาก ก็ไม่ได้สนใจอะไร จนในที่สุดลองเล่นดู เริ่มเล่นก็ไม่รู้เรื่อง เล่นตามที่โปรแกรมบอกว่าต้องทำอะไร เล่นไ
ปเล่นมาเริ่มเล่นได้รู้เรื่อง คราวนี้ก็สนุกสนานเป็นการใหญ่

เริ่มเล่นบ่ายวันที่ 30 พฤษภาคม จนถึงวันนี้ 3 มิถุนายน เล่นได้ Level 15 แล้วค่ะ รูปบนเป็นรูปวันแรกที่เล่น รูปล่างถัดมาเป็นรูปของ level 15 ที่เพิ่งเล่นเมือ่ดะกี้นี้เอง อิ อิ

Wednesday, May 19, 2010

19 พฤษภาคม 2553 ทำไมคนพวกนี้ถึงทำร้ายประเทศไทย ยังเป็นคนไทยหรือเปล่า

วันนี้ได้ข่าวตอนบ่ายว่าแกนนำเสื้อแดงมอบตัวและมีการสลายการชุมนุมแล้ว ทีแรกก็ดีใจว่าเหตุการณ์จะสงบ แต่กลับมาถึงบ้านพบว่าเหตุการณ์ยิ่งแย่ลงไปอีก มีการเผาสถานที่ต่างๆ 27 จุดในกรุงเทพ และมีการเผาศาลากลางจังหวัดอุดรธานี มุกดาหาร และอีกบางจังหวัดในภาคอีสานและเหนือ

จุดที่รุนแรงมากได้แก่ เซ็นทรัลเวิร์ลถูกเผาทั้งหลัง ตึกแปดชั้นกำลังจะถล่มในขณะนี้(เกือบเที่ยงคืน) อาคารมาลีนนท์ของช่องสามถูกเผาบางส่วน ช่องสามต้องปิดสถานีปล่อยจอดำไป โรงหนังสยามไม่มีอีกแล้วถูกเผาทั้งหลัง สยามพารากอนก็ถูกวางเพลิง ธนาคารกรุงเทพถูกเผาหลายสาขา ธนาคารกรุงไทย ฯลฯ

พวกคนเสื้อแดงที่เป็นเด็ก คนแก่ รวมถึงพวกที่กลัวตายกลัวถูกทหารยิง หลบอยู่ในวันปทุมวนาราม ไม่ยอมออกมา มีทีมครูหยุยและพระในวัดดูแล

พวกเสื้อแดงที่ไม่ยอมหยุดความรุนแรงกำลังทำร้ายประเทศไทยอย่างไม่น่าเชื่อว่าเป็นคนไทย ยังมีการเผาสถานที่ มีเหตุวุ่นวาย การต่อสู้ ทั้งบริเวณบ่อนไก่ อนุสาวรีย์ สามแยกดินแดง สะพานเหลือง ฯลฯ พวกนี้กำลังทำอะไรกัน

ข่าวที่นำเสนอในต่างประเทศก็มองเป็นกลาง ซึ่งอาจเป็นกลางมากไปจนสร้างความเข้าใจผิด เช่น ดูข่าวเห็นกลุ่มประเภทพิทักษ์สิทธิมนุษยชนหรืออะไรประเภทนี้ที่เกาหลีใต้ไปถือป้ายประท้วงหน้าสถานฑูตไทยให้ทหารหยุดการใช้อาวุธกับประชาชน งงกับคนประเภทนี้มาก เข้าใจบ้างไหมว่าประชาชนที่คุณเสนอตัวพิทักษ์เขาทำอันตรายกับประเทศแค่ไหน ทำไมต้องเข้าข้างคนที่ทำร้ายประเทศ ทำร้านประชาชนคนอื่นอย่างไม่มีสมองนอกจากพูดแค่ว่าต้องการประชาธิปไตย ซึ่งเขาเหล่านั้นเข้าใจคำว่าประชาธิปไตยแค่ไหนก็ไม่รู้

เพิ่งได้อ่านจดหมายเปิดผนึกของคุณนภัส ณ ป้อมเพชรที่เขียนถึงนักข่าวสองคนของ CNN ที่รายงานข่าวอย่างไม่เป็นกลาง เหมือนจะเป็นนักข่าวเสื้อแดงแทนที่จะเป็นกลางต่อประเทศไทย ขอคัดมาไว้ในหน้านี้ด้วย เพราะกลัวว่าต่อไปจะหาไม่เจอ


As a first-rate global news agency, CNN has an inherent professional duty to deliver all sides of the truth to the public who have faithfully and sincerely placed their trust and reliance in you. Your network, by its longtime transnational presence and extensive reach, has been put in a position of trust and care; CNN's journalists, reporters, and researchers have a collective responsibility to follow the journalist's code and ethicsto deliver and present facts from all facets of the story, not merely one-sided, shallow and sensational half-truths. The magnitude of harm or potential extent of damage that erroneous and fallacious news reporting can cause to (and exacerbate), not only a country's internal state of affairs, economic well-being, and general international perception, but also the real lives and livelihood of the innocent and voiceless people of that nation, is enormous. CNN should not negligently discard its duty of care by reporting one-sided or unverified facts and distorted truths drawn from superficial research, or display/distribute biased images which capture only one side of the actual event.Recently, CNN Thailand correspondents Dan Rivers and Sarah Snider have made me seriously reconsider your agency as a source for reliable and accurate, unbiased news. As of this writing, thousands of CNN's viewers have already begun to question the accuracy and dependability of its reporting as regards events in Afghanistan, Haiti, Iraq, Iran, in addition to Bangkok.

Rivers and Snider have not done their best under these life-threatening circumstances because many other foreign correspondents have done better. All of Rivers' and Sniders' quotes and statements seem to have been solely taken from the anti-government protest leaders or their sympathisers. Yet, all details about the government's position have come from secondary resources. No direct interviews with government officials have been shown; no interviews or witness statements from Bangkok residents or civilians unaffiliated with the protesters, particularly those who have been harassed by or suffered at the hands of the protesters, have been circulated.

Why the discrepancy? Why the failure to report all of the government's previous numerous attempts to negotiate or invitation to the protesters to go home? Why no broadcasts shown of the myriad ways the red protesters have terrorised and harmed innocent civilians by burning their shops, enclosing burning tyres around apartment buildings, shooting glass marbles at civilians, attacking civilians in their cars, and worst of all, obstructing paramedics and ambulances carrying civilians injured by grenade blasts during the Silom incident of April 24, thereby resulting in the sole civilian casualty? The entire timeline of events that have forced the government to take this difficult stance has been hugely and callously ignored in deference to the red 'underdogs'.

Rivers and Snider's choice of sensational vocabulary and terminology in every newscast, and choice of images to broadcast, has resulted in law-abiding soldiers and the heavily-pressured Thai government being painted in a negative, harsh and oppressive light, whereas the genuinely violent and law-breaking arm of the anti-government protesters - who are directly responsible for overt acts of aggression not only against soldiers but also against unarmed civilians and law-abiding apolitical residents (and whose actions under American law would by now be classified as terrorist activities) - are portrayed as righteous freedom fighters deserving of worldwide sympathy and support. This has misled the various international human rights watchdogs to believe that the Thai government is sending trigger-happy soldiers out to ruthlessly murder unarmed civilians without cause.

As a current resident of war zone Bangkok who has experienced the effect of the red protests firsthand and is living in a state of constant terror and anxiety as to whether her family, friends and home will get bombed or attacked by the hardcore anti-government paramilitary forces - I appeal to CNN's professional integrity to critically investigate and scrutinise the misinformed news reporting of your above-named correspondents. If they are incapable of obtaining genuine, authentic facts from any other source except the red protest leaders and red-sympathising Thai translators or acquaintances, or from fellow non-Thai-speaking journalists who are similarly ignorant of Thai language, culture, history and society, then perhaps CNN should consider reassigning field correspondents to Thailand.

I implore and urge you to please take serious action to correct or reverse the grave injustice that has been done to the Thai nation, her government, and the majority of law-abiding Thai citizens and expatriate residents by the poorly researched and misrepresented news coverage of the ongoing political unrest and escalating violence in Thailand.

Copies of this open letter have also been distributed to other local as well as international news media and social networks for public information. Please feel free to contact me further should you require any additional concrete and reputable evidence in substantiation and corroboration of my complaints and claims stated above.

Napas Na Pombejra

Bangkok


ส่วนข้างล่างนี้เป็นฉบับแปลอ่านมาจากผู้จัดการออนไลน์


http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9530000069552



ความคิดเห็นที่ 23+1
CNN งานเข้า … เมื่อมีจดหมายเปิดผนึกเวียนในสื่อต่างๆ ถึงการเสนอข่าวที่ไม่เป็นกลาง เอนเอียงไปฝ่ายเดียว
ขอบคุณ คุณsupawan ผู้แปล
oknationblog ผู้เผยแพร่่
คุณนภัส ณ ป้อมเพชร ผู้เขียนจดหมายฉบับนี้

Zeze Na Pombejra: Open Letter to CNN International

Dear Sirs/Madams,

เร็วๆนี้ ผู้สื่อข่าว CNN ประจำประเทศไทย แดน ริเวอร์ และ ซาร่าห์ ซไนเดอร์ ทำให้ดิฉันต้องกลับมาพิจารณาอย่างจริงจังว่าข่าวของสำนักข่าวของคุณเป็น แหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ มีความถูกต้อง และไม่เอนเอียงไปข้างใดข้างหนึ่งหรือไม่ ในขณะที่ดิฉันกำลังเขียนจดหมายฉบับนี้ มีผู้เสพข่าวของ
CNN กำลังตั้งคำถามถึงความแม่นยำและแหล่งข่าวในการนำเสนอเหตุการณืที่เกิดขึ้นใน อาฟกานิสสถาน ไฮติ อิรัก อิหร่าน เป็นต้น .. เพิ่มเติมจากการเสนอข่าว ในกรุงเทพมหานคร

ในฐานะที่เป็นสำนักข่าวชั้นนำของโลก CNN มีหน่าที่ในการเสนอข่าวอย่างรอบด้าน บนพื้นฐานของความจริงต่อประชาชนทั่วโลกที่ให้ความไว้วางใจอย่างสุจริต ต่อการเสนอข่าวของสำนักข่าวของท่าน เครือข่ายข่าวนานาชาติของท่านยังดำรงอยู่และเข้าถึงอย่างกว้างขวางโดยพื้น ฐานของการนำ
เสนออย่างระมัดระวังและไว้ใจได้มาอย่างยาวนาน ; นักข่าว ผู้สื่อข่าว และผู้ที่ทำการวิจัยข้อมูลของ CNN ต้องมีความรับผิดชอบในการปฏิบัติตนตามมาตรฐานการปฏิบัติและจริยธรรมของ ผู้สื่อข่าว ในอันที่จะนำเสนอเรื่องราวและข้อเท็จจริงรอบด้าน ไม่ใช่การนำเสนอข่าวด้านเดียว ที่ตื้นเขินและความจริงเพียงครึ่งเดียว ความเสียหายและโอกาสที่จะเกิดความเสียหายที่ร้ายแรงจากความเข้าใจผิดหรือการ รับรู้ที่ไม่ถูกต้องอาจจะเกิดขึ้นได้(และถูกทำให้แย่ลง) ไม่เพียงแค่ในส่วนที่เกี่ยวกับกิจการภายในของประเทศ ภาวะเศรษฐกิจ และภาพลักษณ์ต่อประชาคมโลกเท่านั้น แต่ยังรวมถึงชีวิตความเป็นอยู่จริงๆ ของผู้คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่และไม่มีปากเสียงของประเทศนั้นๆด้วย นี่เป็นเรื่องที่ใหญ่โต CNN ไม่ควรจะเพิกเฉยและละเลยหน้าที่ที่ต้องใช้ ความระมัดระวังในในการนำเสนอข่าวเพียงด้านเดียวในประชาคมโลก หรือการที่ไม่ตรวจสอบยืนยันความถูกต้องของข่าว และแม้แต่การบิดเบือนข้อ เท็จจริงที่นำมาจากการการวิจัยอย่างคร่าวๆ ผิวๆเผินๆ หรือการนำเสนอ/แจกจ่ายรูปภาพที่เอนเอียงไปด้านใดด้านหนึ่งของความจริงทั้ง หมดในภาพรวม

คุณริเวอร์ และคุณ ซไนเดอร์ ไม่ได้ทำหน้าที่อย่างดีที่สุดภายใต้ภาวะที่อาจจะเกิดการคุกคามชีวิต เพราะผู้สื่อข่าวของสำนักข่าวอื่นๆทำหน้าที่ได้ดีกว่านี้ ทุกสิ่งที่คุณริเวอร์และคุณซไนเดอร์กล่าวถึงและเขียนถึง ล้วนแต่เป็นเรื่องที่นำมาจากแกนนำของกลุ่มผู้ประท้วงต่อต้าน หรือผู้ชุมนุมที่ฟูมฟาย
รียกร้องความเห็นอกเห็นใจ ดังนั้น รายละเอียดทั้งหมดที่เกี่ยวกับทางฝ่ายรัฐบาลล้วนได้มาจากแหล่งข่าวรองๆทั้ง สิ้น ยังไม่ปรากฏว่ามีการเข้าไปสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐโดยตรง หรือการเข้าไปรับทราบการรายงานจากประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร และผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องการการ
ชุมนุมประท้วง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ซึ่งถูกคุกคามและต้องทนทุกข์จากการกระทำของกลุ่มผู้ ประท้วง แล้วนำมารายงานข่าวทำไมจึงมีความแตกต่างในการนำเสนอข่าว (สองมาตรฐาน – ผู้แปล) ทำไมจึงไม่มีการรายงานข่าวความพยายามหลายๆครั้งของทางฝ่ายรัฐบาลที่จะ เจรจาหรือเชิญผู้ชุมชุมให้กลับบ้าน ทำไมจึงไม่มีการรายงานวิธีการมากมายหลายอย่างที่เลวร้ายน่ากลัวที่กลุ่มผู้ ประท้วงได้กระทำและเป็นอันตรายต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ ด้วยการเผาทำลายร้านค้า การเผายางรถยนต์รอบๆตึกอพาร์ทเม้นท์ ยิงลูกแก้วเข้าสู่ประชาชนจากที่สูง ทำร้ายประชาชนในรถยนต์ และที่เลวร้ายที่สุดก็คือกีดขวางเจ้าหน้ราที่ทางการแพทย์และรถพยาบาลที่ กำลังลำเลียงผู้ได้รับบาดเจ็บจากกรณีการยิงระเบิด
เอ็ม 79 ในพื้นที่การปะทะที่ถนนสีลมเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2010 ซึ่งทำให้เกิดการสูญเสียชีวิตของประชาชน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นลำดับได้บีบบังคับให้ทางฝ่ายรัฐบาลต้องอยู่ใน ฐานะที่ยากลำบากที่จะต้องเมินต่อกลุ่มคนเสื้อแดง

สิ่งที่คุณริเวอร์และ คุณซไนเดอร์เลือกใช้ไม่ว่าจะเป็นภาษา คำศัพท์ หรือภาพที่กินใจในการนำเสนอข่าว ล้วนเป็นเรื่องของทหารที่ปฏิบัติตนตามกฎหมาย และอยู่ภายใต้ภาวะกดดันอย่างสูง ฝ่ายรัฐบาลได้รับการป้ายสี วาดภาพในด้านลบ หยาบกระด้าง และปกครองอย่างกดขี่ ในขณะที่พวกที่มีความรุนแรงที่แท้จริง และละเมิดกฎหมายของกลุ่มคนที่ประท้วงรัฐบาล ผู้ซึ่งจะต้องรับผิดชอบอย่างแท้จริงต่อการกระทำที่เกินเลยและก้าวร้าว ไม่เพียง กระทำต่อทหารที่มีอาวุธเท่านั้น แต่ยังรวมถึงประชาชนที่สิ้นหวัง ปราศจากอาวุธ ผู้ที่ปฏิบัติตนภายใต้กฎหมาย และประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตที่ ครั้งหนึ่งเป็นเขตที่รุ่งเรืองของมหานครแห่งนี้ (ซึ่งการปฏิบัติตนเช่นที่กล่าวมานี้ หากเป็นกฎหมายของอเมริกา จะถูกจัดเป็นกลี่มผู้ก่อการร้ายทันที) – แต่คนกลุ่มนั้นกลับปฏิบัติตนเสมือนว่ามีอิสระที่จะต่อสู่ และได้รับความเห็นใจและการสนับสนุนจากประชาคมโลก นี่เป็นการทำให้เกิดความเข้าใจที่ผิดๆในกลุ่มพิทักษ์สิทธิมนุษยชนระหว่าง ประเทศ ซึ่งเข้าใจว่ารัฐบาลไทยกำลังส่งทหารที่มีอาวุธเข้าไปเข่นฆ่าประชาชนโดยไม่มี เหตุอันควร

ในฐานะที่เป็นผู้ที่อาศัยอยู่ใน “เขตสงคราม” ของกรุงเทพ และมีประสบการณ์ตรงที่ได้รับผลกระทบจากกลุ่มผู้ประท้วงเสื้อแดงที่มีการข่ม ขู่อย่างต่อเนื่อง เรามีความกังวลว่าครอบครัวของเรา เพื่อนฝูง และบ้านเรือนของเราจะถูกระเบิดหรือถูกโจมตีจากกลุ่มหัวรุนแรงของกลุ่มคนที่ ต่อต้านรัฐบาล
กองกำลังต่างๆ – ดิฉันอยากจะขอร้องให้ CNN ใช้จริยธรรมของวิชาชีพในการตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนละพินิจพิเคราะห์ข่าวที่บิด เบือนจกการนำเสนอโดยผู้สื่อข่าวที่ได้พูดถึงข้างต้น หากพวกเขาไม่มีความสามารถในการหาข่าวที่เป็นจริงจากแหล่งข่าวอื่นๆนอกเหนือ ไปจากแกนนำคนเสื้อแดงและคน
แปลที่เห็นอกเห็นใจฝ่ายเสื้อแดง หรือจากนักข่าวที่ไม่สามารถพูดภาษาไทยได้ ไม่รู้เรื่องวัฒนธรรม เมินเฉยต่อประวัติศาสตร์ และสภาวะทางสังคมและหากเป็นเช่นนั้นจริงๆ CNN น่าจะหาผู้สื่อข่าวคนอื่นเข้ามาทำข่าวในประเทศไทย

ดิฉันขออ้อนวอนและขอ ให้สำนักข่าวของท่านลงมือทำอย่างใดอย่างหนึ่งอย่างจริงจัง เพื่อแก้ไขความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นกับประเทศไทย กับรัฐบาลไทย และประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ซึ่งเป็นผู้ที่เคารพกฎหมาย รวมถึงชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ที่นี่ โดยการรายงานข่าวและงานวิจัยแย่ๆ ซึ่งไม่ใช่ข้อ
เท็จจริงของสถานการณ์ไม่สงบที่เกิดขึ้น รวมถึงการรายงานความรุนแรงที่เกิดขึ้นจนเกินเลยเกินความเป็นจริง

สำเนา ของจดหมายเปิดผนึกฉบับนี้จะมีการแจกจ่ายในประเทศไทย และในประชาคมโลก รวมถึงในเครือข่ายสังคมออนไลน์เพื่อเป็นข้อมูลให้กับคนทั่วไป กรุณาติดต่อดิฉันได้ทุกเมื่อหากท่านต้องการข้อมูลเฉพาะเพิ่มเติม หรือหลักฐานที่เชื่อถือได้ ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อความที่ดิฉันเขียนมาทั้งหมด
ข้างต้น

Thank you.
Yours faithfully,
Napas Na Pombejra, B.A., LL.B. (Lond.)
Bangkok, Thailand
May 17, 2010

พร้อมจดหมายฉบับนี้ ดิฉันได้แนบตัวอย่างข้อมูลจากสำนักข่าวระหว่างประเทศที่มีคุณภาพดี ที่รายงานโดยผู้สื่อข่าวต่างประเทศที่น่านับถือ เพื่อเป็นข้อมูลให้ท่านได้พิจารณาประเมินข่าวที่ต่ำกว่ามาตรฐานและบิดเบือน ของสำนักข่าวของท่านที่รายงานโดยคุณริเวอร์ และคุณซไนเดอร์

1. New York Times: http://www.nytimes.com/2010/05/16/world/asia/16thai.html
2. Fox News/Associated Press:
(i) http://www.foxnews.com/world/2010/05/16/chaos-continues-thailand-govt-rejects-talks-continues-crackdown-killed/
(ii) http://www.foxnews.com/world/2010/05/17/thai-red-shirt-general-dies-chaos-continues/
3. Global Post: http://www.globalpost.com/dispatch/thailand/100514/thailand-protests-bangkok
4. NHK: http://www.nhk.or.jp/daily/english/17_15.html
5. Al Jazeera: http://english.aljazeera.net/programmes/listeningpost/2010/04/2010423171540981286.html
6. Deutsche Welle (English media in Germany):
http://www.dw-world.de/dw/article/0,,5575254,00.html
7. Local English daily newspaper’s chronology of events on Day 3 of “War in Bangkok”:
http://www.nationmultimedia.com/home/2010/05/17/politics/What-went-down-30129533.html
Youtube Videos, images, articles showing what CNN has failed to circulate:
1. http://www.youtube.com/watch?v=F_xg0l6-oHY
2. http://www.youtube.com/watch?v=6rGqZDvRa_U
3. http://www.youtube.com/watch?v=r3tfBBSVJdU&feature=player_embedded
4. http://www.youtube.com/watch#!v=4hmSPbugDAA&feature=related
5.
6. http://www.youtube.com/watch#!v=XRi6m7QG06M&feature=related
7. http://www.youtube.com/watch#!v=Aws3ZMXzNjs&feature=related
8. http://www.youtube.com/watch#!v=giuEOQ62n6E&feature=related
9. http://www.youtube.com/watch#!v=yy3a73Y6fBg&feature=related
10. http://www.youtube.com/watch?v=MLuffqnszIY
11. http://www.youtube.com/watch?v=MqnXV2ltUlE
12. http://www.youtube.com/watch#!v=LXMmQReCKVg&feature=related
13. http://www.youtube.com/watch#!v=FWN7zYV7_Bo&feature=related
14. http://www.youtube.com/watch?v=005jYjmEAVE
15. http://www.youtube.com/watch?v=ioOrreuQ94c
16. http://tweetphoto.com/22647514
17. http://www.bangkokpost.com/opinion/opinion/37395/put-an-end-to-this-rebellion?awesm=fbshare.me_AMdZh
18. http://www.facebook.com/photo.php?pid=333752&id=118996168116475
19. http://www.youtube.com/watch#!v=El-zPySi9cQ&feature=related
20. http://www.youtube.com/watch#!v=KzcVcHokaVM&feature=related
21. http://www.youtube.com/watch?v=agLBIWDKWkI
22. http://www.youtube.com/watch#!v=34hSEPOC71g&feature=related
23. http://www.youtube.com/watch#!v=kuAQyc5d1HY&feature=related
24. http://www.youtube.com/watch#!v=Pv9Hpfb6gNE&feature=related
25. http://www.youtube.com/watch?v=x7yAVunxw1g&feature=player_embedded
26. http://www.facebook.com/photo.php?pid=328250&o=all&op=1&view=all&subj=122351831122683&aid=-1&id=1785951766
27. http://www.facebook.com/photo.php?pid=5959829&o=all&op=1&view=all&subj=122351831122683&aid=-1&id=506055218
28. http://www.facebook.com/photo.php?pid=5960844&o=all&op=1&view=all&subj=122351831122683&aid=-1&id=506055218
29. http://news.bbc.co.uk/2/hi/asia-pacific/8684405.stm
30. http://www.facebook.com/video/video.php?v=428905841067&ref=mf
แมวดำ

Thursday, April 29, 2010

ภาพรวมการจัดการเรียนการสอนแบบ PBL ที่ มวล

ได้รับมอบหมายให้เขียนเรื่องนี้ตั้งแต่เดือนที่แล้วสำหรับลงในจุลสาร PBL ลืมทุกที วันนี่ฤกษ์งามยามดี และถูกทวงแล้ว ...


PBL ในมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์(มวล.)ได้หยั่งรากมาลึกพอสมควรตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาที่มีการดำเนินการของคณาจารย์ผู้ให้ความสำคัญกับกระบวนการเรียนการสอนลักษณะนี้ หลายสำนักวิชาได้นำ PBL เข้าไปใช้ในการเรียนการสอน มีทั้งเต็มรูปแบบ และใช้เพียงบางส่วนในรายวิชา ความสำเร็จในการดำเนินการจะแตกต่างกันไปตามธรรมชาติรายวิชา ลักษณะการบูรณาการรายวิชา และธรรมชาติของผู้เรียน

ผู้สอนแต่ละท่านมีเหตุผลในการนำกระบวนการเรียนการสอนแบบ PBL มาใช้ในรายวิชาที่แตกต่างกัน บางท่านเห็นถึงสภาพการพบปัญหาในชีวิตจริงที่ไม่มีการแยกสาขาความรู้ แต่เราต้องใช้ความรู้รอบด้านที่มีนำมาประมวลเพื่อการแก้ปัญหานั้นๆ เราจึงควรสอนในลักษณะที่ให้เห็นปัญหาแล้วแก้ไข บางท่านก็เห็นความจำเป็นในการปรับรูปแบบการเรียนรู้ให้มีความหลากหลายเพื่อให้นักศึกษาสามารถเรียนรู้ได้ดีขึ้น บางท่านเห็นเป็นวิธีการสอนที่ได้ผลเพราะนักศึกษาจะเรียนรู้ด้วยตนเองซึ่งความรู้ที่ได้จะฝังลึกและมีความเข้าใจมากกว่าการฟังการบรรยาย

รูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบ PBL ใน มวล.มีหลากหลายขึ้นกับแต่ละสำนักวิชาว่ามีการใช้ PBL มากน้อยเพียงใด สำนักวิชาที่ใช้ PBL อย่างโดดเด่น เช่นสำนักวิชาแพทยศาสตร์ สำนักวิชาสหเวชศาสตร์ และสำนักวิชาพยาบาลศาสตร์ แต่ทุกสำนักวิชามีโอกาสให้นักศึกษาใช้กระบวนการของ PBL ได้หากให้นักศึกษาลงเรียนรายวิชาศึกษาทั่วไปที่เรียนแบบ PBL ในที่นี้ขอกล่าวถึงรายวิชากลุ่มศึกษาทั่วไปสองรายวิชาคือ รายวิชาภาษาอังกฤษ 2 และมนุษย์กับสังคม ซึ่งได้มีโอกาสได้ร่วมเป็น Facilitator สองรายวิชานี้เป็นวิชาที่ใช้ PBL เต็มรูปแบบตลอดภาคการศึกษา มีการจัดการเรียนการสอนกลุ่มย่อยสัปดาห์ละ 2 คาบ โดยใช้ 7 ขั้นตอนของกระบวนการ PBL คาบแรกเป็นการเรียนรู้ขั้นตอนที่ 1-5 จะได้โจทย์ว่านักศึกษาจะเรียนรู้เรื่องใด คาบที่สองเป็นการนำเสนอความรู้ที่ได้ไปศึกษามา พบว่าด้วยธรรมชาติของวิชาและธรรมชาติของผู้เรียนมีผล เช่น รายวิชาภาษาอังกฤษเป็นวิชาที่ยากสำหรับคนที่ไม่ชอบและไม่สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้ บางคนจะไม่มีความพยายามที่จะค้นคว้า หรือต้องการค้นคว้าแต่ไม่มีความสามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่ค้นมาเพราะมีอุปสรรคด้านภาษา รายวิชามนุษย์กับสังคม ผู้เรียนบางกลุ่มศึกษาในหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาวิชานี้ ก็จะให้ความสนใจและอภิปรายได้มาก เพราะเป็นเรื่องใกล้ตัว

หากจะแสดงความคิดเห็นส่วนตัวต่อการเรียนการสอนแบบ PBL ขอเรียนว่าเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งเพราะเป็นการเรียนรู้ที่เห็นได้ชัดว่าผู้เรียนได้ใช้ศักยภาพในการเรียนรู้ของตนเองจริงๆ หากได้รับการฝึกฝนในการเรียนรู้ลักษณะนี้ต่อไป ผู้เรียนจะเป็นคนใฝ่รู้ยิ่งขึ้นและสามารถหาความรู้ด้วยตนเองได้ ไม่ต้องตามน้ำหรือคิดตามผู้อื่นด้วยความไม่รู้อีกต่อไป

การเรียนการสอนใดๆย่อมต้องมีอุปสรรคขึ้นกับว่าเราจะสามารถจัดการกับอุปสรรคนั้นได้ดีเพียงใด การจัดการเรียนการสอนแบบ PBL ในมวล.ก็เป็นเช่นเดียวกัน เราพบปัญหาว่าการเรียนลักษณะนี้ต้องแบ่งกลุ่มผู้เรียนเป็นกลุ่มเล็ก จึงใช้บุคลากรผู้สอนจำนวนมากกว่าการสอนบรรยายปกติ ต้องใช้ห้องจำนวนมากซึ่งเป็นปัญหาเพราะห้องเรียนมีจำกัด ต้องมีอุปกรณ์สื่อโสตฯ ประจำห้อง ซึ่งต้องจัดหาให้ตามความเหมาะสม นักศึกษาต้องใช้เวลาในการค้นคว้ามาก มักจะได้ยินจากนักศึกษาว่างานหนัก เวลาไม่พอ แหล่งค้นคว้าต้องมีเพียงพอ เช่นการค้นหนังสือในห้องสมุด หรือการค้นคว้าด้วยอินเทอร์เน็ตซึ่งต้องการระบบเครือข่ายของมหาวิทยาลัยที่เสถียรและรวดเร็วในการหาข้อมูล รวมถึงทัศนคติของนักศึกษาต่อรายวิชาและลักษณะการเรียนการสอนแบบนี้ซึ่งบางคนเห็นว่าต้องศึกษาเพิ่มด้วยตนเองมากมายแทนที่จะเป็นการรับข้อมูลจาการบรรยายอย่างที่คุ้นเคย มวล. ทราบปัญหาเหล่านี้และดำเนินการแก้ไขอย่างต่อเนื่อง กล่าวได้ว่าเราได้รับการสนับสนุนในเรื่องนี้เป็นอย่างดี

ท้ายสุด เราได้รับคำถามเสมอว่าผู้เรียนมีความเปลี่ยนแปลงหรือไม่เมื่อมาเรียนแบบ PBL เราพบกระบวนการเรียนการสอนอย่างชัดเจนว่านักศึกษามีวิธีการเรียนรู้ที่ดีขึ้น มีทักษะในการอภิปรายสื่อสารที่ดีขึ้น แต่ต้องยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงจะไม่ได้เป็นแบบก้าวกระโดด คนที่มีพื้นฐานใฝ่รู้จะยิ่งมีโอกาสมากขึ้นในการหาความรู้ด้วยตนเอง คนที่มีความกระตือรือร้นน้อยจะได้ซึมซับจากการบวนการกลุ่มและปรับตนเองให้มีความใฝ่รู้มากขึ้น แต่โดยรวมจะเห็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นเสมอ นั่นเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ PBL ในมวล.จะยังคงมีความเข้มแข็งอีกต่อไป

Monday, April 26, 2010

โปรแกรมสถาปนาองค์ความรู้ทาง วิทยาศาสตร์ (คุยซายน์) ... น่าสนใจทีเดียว

วันนี้มีคณาจารย์จากคณะวิทยาการสารสนเทศ มหาวิทยาลัยบูรพา มาให้ข้อมูลเกี่ยวกับ KuiSci ซึ่งเป็นโปรแกรมที่พัฒนาขึ้นเพื่อเป็นการเชื่อมต่อฐานข้อมูลนักวิจัย

"โปรแกรมสถาปนาองค์ความรู้ทาง วิทยาศาสตร์ (คุยซายน์)
เป็นซอฟต์แวร์เพื่อสังคมของนักวิจัยในสาขานักวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี โปรแกรมถูกใช้เพื่อสนับสนุนการทำงานร่วมกันในชุมชน ในลักษณะของการแลกเปลี่ยน ความรู้อย่างสร้างสรรค์ ทั้งนี้ จะอาศัยอินเทอร์เน็ตเป็นเวทีที่จะทำงานร่วมกัน ระหว่าง ผู้เสนองานที่เสนอปัญหาจากเข้าสู่ระบบเพื่อให้นักวิจัย หาคำตอบของ ปัญหาเหล่านั้น "

http://www.thaisocial.net

การทำงานของโปรแกรมมี flow ตั้งแต่ผู้เสนองานระบุว่ามีงานใด ผู้รับงานจะเสนอโครงการไปให้พิจารณา โครงการนั้นจะถูกส่งไปให้ผู้เชี่ยวชาญประเมิน ผลการประเมินจะถูกแจังให้ทราบ ผู้ได้รับการอนุมัติโครงการจะได้รับการแจ้งกลับ ผู้รับงานจะทำโครงการวิจัยต่อไป เป็นการ match ผู้เสนองานและผู้รับงานที่ดีจะทำให้ข่าวคราวการวิจัยไปถึงผู้ที่สามารถทำงานวิจัยนั้นได้ทั่วถึง

สถานะทั้งหมดมีหลายสถานะ สามารถดูสถานะได้โดยการนำเมาส์ไปวางบน icon สถานะ

โดยภาพรวมเป็นระบบที่ใช้งานง่ายพอควรและน่าจะเป็นประโยชน์มากหากทุกที่ให้ความร่วมมือและเชื่อมต่อฐานข้อมูลของแต่ละสถาบัน แต่ทั้งนี้จะใช้ได้กับทุนภายใน เพราะทุนภายนอกเราไม่มีสิทธิ์อนุมัติ เพราะฉะนั้นระบบนี้อาจจะไม่ครอบคลุมทั้งหมด ยังคงต้องดูรายละเอียดต่อไป
งานนี้เป็นการทำงานของกลุ่มวิจัยปฏิบัติการสองแห่งของมหาวิทยาลัยบูรพา คือกลุ่มวิจัยสารสนเทศสาสตร์ และกลุ่มวิจัยระบบปฏิบัตการ





Sunday, April 25, 2010

The Red Violin หนังดี...แต่ทำไมเพิ่งได้ดูก็ไม่รู้

วันนี้ดูหนังเรื่อง The Red Violin ไวโอลินเลือด ของ Francois Girard เป็นหนังที่ได้รางวัล Best Music by John Corigliano ในการชิง Academy award เป็นหนังปี 1998( และฉันก็เพิ่งได้ดูในปี 2010 เนี่ยนะ) ทีแรกก็เฉยๆ หยิบมาดูคิดว่าเป็นหนังลึกลับด้วยซ้ำ แต่อ่านคำบรรยายภาษาไทยด้านหลังเขียนว่า นี่คือหนังสำหรับคนรักดนตรี และเมื่อดูจบแล้วก็รู้สึกดีจริงๆด้วย ไม่ได้ถึงกับตื้นตันน้ำตาไหลแต่รู้สึกอยากติดตามอยากรู้เรื่องต่อเนื่อง

พล็อตเรื่องเกี่ยวกับไวโอลินตัวหนึ่งถูกสร้างโดยช่างทำไวโอลินชาวอิตาลีเมื่อสามศตวรรษที่แล้วในปี ค.ศ.1681 เพื่อเตรียมให้กับลูกที่กำลังจะคลอดของเขา โชคร้ายที่ภรรยาของเขาเสียชีวิตระหว่างคลอด ไวโอลินตัวนี้จึงไม่ได้เป็นไปตามความประสงค์ของผู้สร้าง เวลาผ่านไปไวโอลินตัวนี้ถูกบริจาคให้โบสถ์ที่เลี้ยงเด็กกำพร้าในออสเตรีย มีเด็กหลายคนได้เล่นต่อๆกันมา จนมีเด็กอัจฉริยะคนหนึ่งได้เล่น และมีนักดนตรีที่เห็นแววพาไปที่เวียนนาเพื่อแสดงให้เจ้าชายคัดเลือกสำหรับร่วมในการเดินทางไปรัสเซียของพระองค์ โชคร้ายอีกครั้งที่เด็กคนนี้เสียชีวิตต่อหน้าพระพักตร์ด้วยความเครียดและเดิมเป็นโรคหัวใจอยู่แล้ว ไวโอลินถูกฝังพร้อมศพ 

แต่มีหัวขโมยได้มาขุดหลุมศพนำไวโอลินไป ครั้งนี้ไวโอลินตัวนั้นถูกเล่นต่อๆกันในกลุ่มยิปซีเร่ร่อน จนเมื่อมาถึงอังกฤษ เจ้าของที่ดินที่ยิปซีมาพักซึ่งเป็นนักไวโอลินที่มีสไตล์เฉพาะตัวในสมัยนั้นได้เห็นและนำไวโอลินนี้ไปใช้ในการแสดงของเขา การแสดงของเขาต้องมาจากแรงบันดาลใจที่เกิดจากหญิงสาวคนหนึ่ง ซึ่งเธอเองเป็นนักประพันธ์ที่ต้องการแรงบันดาลใจในการเขียนเช่นกัน เธอจึงเดินทางไปรัสเซีย และกลับมาพบว่าเขาหาแรงบันดาลใจจากหญิงอื่นเมื่อไม่มีเธอ เธอยิงไวโอลินตัวนั้นเสียหาย แล้วจากไป เขาฆ่าตัวตายในที่สุดเพราะสูญเสียแรงบันดาลใจและอ่อนแอเพราะฝิ่น 

ไวโอลินถูกนำข้ามน้ำข้ามทะเลไปถึงเมืองจีนที่เซี่ยงไฮ้โดยคนรับใช้ชาวจีนของเขาที่กลับwxเมืองจีนและนำไวโอลินตัวนั้นไปขายในร้ายขายของเก่า ไวโอลินถูกขายต่อให้แม่ลูกชาวจีนคู่หนึ่ง ลูกสาวเมื่อเติบโตขึ้นตกอยู่ในช่วงปฏิวัติการปกครองของจีน เครื่องดนตรีตะวันตกจะถูกทำลาย ไวโอลินถูกมอบให้อาจารย์สอนดนตรีผู้เก็บเครื่องดนตรีหลบซ่อนการทำลายของเรดการ์ดจนสิ้นสุดยุคประธานเหมา ในที่สุดรัฐบาลจีนได้มอบคอลเลกชั่นเครื่องดนตรีเหล่านี้กลับมาสู่ประเทศตะวันตก จนเข้าสู่การประมูลในเมืองมอลทรีลออลในแคนาดา ฉากการประมูลเป็นฉากนำเรื่องจากนั้นหนังตัดเรื่องไปมาระหว่างแต่ละช่วงเวลาเดินทางของไวโอลิน ซึ่งตัดภาพได้เรียบรื่นดีมาก 

แล้วเรื่องมาเฉลยกันตอนจบว่าช่างทำไวโอลินได้นำเลือดของภรรยาผู้เสียชีวิตมาทาสีไวโอลินโดยใช้แปรงที่ทำจากผมของเธอ ชื่อเรื่องภาษาไทยที่ตั้งชื่อว่า ไวโอลินเลือด จึงสื่อเนื้อหาส่วนนี้เข้าไปด้วย

โดยส่วนตัวชอบเรื่องนี้ทั้งฉากที่สวยงาม ดนตรีประกอบนั้นยอดเยี่ยม ฟังแล้วอยากเล่นไวโอลินตาม เนื้อเรื่องแต่ละช่วงแสดงให้เห็นยุคสมัยที่เปลี่ยนไปและลักษณะของภูมิภาคที่ต่างกัน

เกี่ยวกับไวโอลิน จะเห็นว่าเรื่องเริ่มที่ Cremona ซึ่งเป็นเมืองอยู่ทางเหนือของอิตาลี นับเป็นศูนย์กลางการผลิตเครื่องดนตรีโดยเฉพาะไวโอลินตระกูลต่างๆ ได้แก่ Amati, Guarneri และ Stradivari ( ในเรื่องใช้ชื่อ Nicolò Bussotti เป็นช่ทำไวโอลิน) เรื่องนี้ว่ากันว่าได้รับแรงบันดาลใจจากไวโอลินของ Stradivarius ที่ชื่อ The Red Mendelssohn สร้างในปี ค.ศ.1721 ปัจจุบันเป็นของนักไวโอลินชื่อ Elizabeth Pitcairn ผู้ได้ไวโอลินตัวนี้เป็นของขวัญวันเกิดซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 1.7 ล้านเหรียญจากการประมูลกับคริสตี้ที่ลอนดอน ชื่อ "The Red Mendelssohn"มาจากแถบสีแดงบนต้านขวาบนของตัวไวโอลินซึ่งไม่มีใครทราบที่มาของแถบนั้นเช่นกัน

มีนิยายอีกเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับไวโอลินของสตราดิวาเรียสคือเรื่อง Antonietta เขียนโดย John Hersey ในปี 1991 Antonietta เป็นทั้งชื่อนิยายและเป็นชื่อของไวโอลินของ Stradivarius ที่สร้างในปี 1699 ในช่วงที่เขาเสียภรรยาและได้ตกหลุมรักกับสาวน้อยคนหนึ่งชื่อ Antonia
Links
1. http://www.youtube.com/watch?v=mHfgRgyxQoA&feature=related เพลงในเรื่องตอนที่ Weiss เสียชีวิตแล้วไวโอลินไปอยู่กับยิปซี
2. http://www.youtube.com/watch?v=2K5q89S_ELg Red Violin Suite with the KCO
A clip of Elizabeth Pitcairn performing The Red Violin Suite for solo violin, strings, harp and percussion by John Corgliano at the World Financial Center Winter Garden in New York City with the Knickerbocker Chamber Orchestra of New York, conducted by music director Gary S. Fagin. 11/17/09

Thursday, April 22, 2010

สัปดาห์แห่งความวุ่นวายของสายการบินยุโรป



สัปดาห์ที่แล้วยุโรปทั้งทวีปเผชิญวิกฤตการณ์ด้านการบินอย่างรุนแรง สาเหตุเกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟใต้ธารน้ำแข็งชื่อ เอยาฟจาลาโยคูลล์ อยู่ทางตอนใต้ของประเทศไอซ์แลนด์ในวันที่ 14 เมษายน ทำให้เกิดเถ้าฟุ้งกระจายปกคลุมน่านฟ้าทั่วยุโรป สนามบินในยุโรปต้องปิดดำเนินการทั้งหมดในบริเวณที่เถ้ากระจายไปถึง และเปิดดำเนินการบางสายการบินในบางประเทศในวันที่ 20 เมษายน และในวันนี้ (22 เมษายน) ยูโรคอนโทรล" หน่วยงานควบคุมการจราจรทางอากาศของยุโรป คาดหมายว่าการจราจรทางอากาศน่าจะกลับสู่ภาวะปกติเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่มีผู้โดยสารตกค้างจำนวนมากที่ยังรอเดินทาง และคงต้องใช้เวลาพอควรกว่าจะกลับสู่สภาพปกติ ว่ากันว่ามูลค่ารายได้ที่สูญเสียของสายการบินต่างๆสูงถึง 1.7 พันล้านเหรียญ (£1.1bn)

คนในยุโรปเดือดร้อนกันมาก มีผู้โดยสารตกค้างอยู่ทุกแห่งทั่วโลกเพราะไม่สามารถเดินทางเข้ายุโรปได้ บางคนต้องเดินทางหลายต่อด้วยพาหนะหลากรูปแบบเพื่อกลับบ้าน เป็นสภาพที่น่าเห็นใจมาก และไม่รู้จะโทษใครดี
ปัญหาจากเถ้าไม่ใช่เรื่องทัศนวิสัย แต่เป็นเรื่องที่เถ้านั้นประกอบด้วยฝุ่นที่เป็นเถ้าภูเขาไฟ แก้ว ซึ่งอาจเข้าไปทำให้เกิดความเสียหายต่อเครื่องยนต์ได้ เมื่อเหตุการณ์สงบลง มีบางฝ่ายได้มาแสดงความเห็นว่า การตัดสินใจครั้งนี้ใช้ฐานความคิดจากทฤษฎีแทนที่จะเป็นข้อเท็จจริง

ในประเทศอังกฤษซึ่งดูจะเป็นประเทศที่เข้มงวดที่สุดในการปิดน่านฟ้าครั้งนี้ สนามบินถูกปิดไปหกวัน เปิดให้เครื่องบินจอดวันแรกคืนวันอังคารที่ 20 เมษายน

ในช่วงเวลาเดียวกัน ประธานาธิบดีโปแลนด์ เลคช์ คาซีสกี ประสบเหตุเครื่องบินตกขณะร่อนลงจอดในเมืองสโมเลนก์ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของรัสเซีย ในวันที่ 10 เมษายน พิธีศพถูกจัดขึ้นในช่วงเวลาที่สนามบินในยุโรปถูกปิด ก็เลยกลายเป็นเรื่องรองไปเมื่อเทียบกัน

ในฐานะประชาชนทวีปเอเชีย ซึ่งไมได้เดือดร้อนกับวิกฤตการณ์นี้มากนักถ้าเทียบกับเรื่องของพวกเสื้อแดง เพราะอยู่ไกลและไม่ได้เดินทาง แต่มีประชาชนจากยุโรปที่จะมาเยี่ยมเยียนแต่มาไม่ได้เพราะไม่มีเครื่องบินให้บินมา ..... สรุปว่าใครๆในโลกก็ได้รับผลจากภูเขาไประเบิดครั้งนี้กันถ้วนทั่วทีเดียว

Saturday, April 03, 2010

อังเดร ริว (Andre Rieu)นักดนตรีในดวงใจ…อีกคน


ได้ยินชื่อ Andre Rieu มาระยะหนึ่งจากการคุยกับเพื่อนที่เนเธอร์แลนด์ รู้สึกจะคุยกันเรื่องเพลงรึอะไรซักอย่างแล้วก็มีชื่อนี้ออกมา ก็เฉยๆแล้วไง คราวนี้เมื่อเดือนที่แล้ว ซื้อ DVD มาหลายแผ่น เกิดไปได้ DVD คอนเสิร์ตดนตรีฤดูร้อนเล่นที่พระราชวังเชิร์นบุรน์ ในออสเตรีย ชอบมากๆทั้งวงออร์เคสตร้า และบรรยากาศค่ำคืนกลางแสงจันทร์เพ็ญ อลังการอย่างบอกไม่ถูก ไปคุยกับเพื่อนที่เคยไปดูคอนเสิร์ตนี้ซึ่งเป็นคอนเสิร์ตที่มีทุกปี เขาก็บอกว่าใช่ เขาเคยไปดูคอนเสิร์ตนี้ เขาชอบอังเดร ริวมาก เราก็ เอ๊ะ อีตาริวนี่มาตอนไหนล่ะ ไม่เห็นมีซักหน่อย ปรากฏว่าพูดกันถึงคอนเสิร์ตคนละปี ที่ฉันดูเป็นคอนเสิร์ตปี 2008 เขาดูคอนเสิร์ตปี 2007 ซึ่งมีอังเดร ริว มาร่วมแสดงด้วย แต่ตอนที่ได้ DVD มาก็มีชุดการแสดงคอนเสิร์ตของอังเดร ริวมาชุดหนึ่งด้วย ชุด The Flying Dutchman” ก็เลยถึงเวลาที่จะดูการแสดงของเขาซักทีว่าจะดีกันมากมายแค่ไหน

ปรากฏว่าตลอดคอนเสิร์ตของเขา ฉันดูเพลินไม่สนใจสิ่งใดๆรอบตัวเลย มีแต่บรรยากาศในคอนเสิร์ตที่ทั้งสนุกสนาน อิ่มเอิบ มีความสุข ดื่มด่ำกับดนตรี และการแสดงที่ยอดเยี่ยม มีไปจนถึงความรู้สึกรักชาติ ทั้งๆที่เขาก็เล่นเพลงชาติของเขาไม่ใช่ของเรา แต่เห็นถึงบรรยากาศการรวมกันเป็นหนึ่งเดียวของคนดู คนดูมีความสุขอย่างเห็นได้ชัด ร่วมเล่นกับอังเดรไม่ว่าเขาจะให้ช่วยร้องเพลง หรือโยกตัว สรุปได้คำเดียวว่า ยอดเยี่ยม รู้สึกดีใจมากที่ได้มีโอกาสได้ดูคอนเสิร์ตดีๆถึงแม้จะไม่ใช่การแสดงสด คิดว่าจะพยายามหาโอกาสไปดูคอนเสิร์ตของเขาสักครั้งในชีวิต

กลับมาค้นประวัติของเขา พบว่าเขาเป็นนักดนตรีของดัชต์ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลมากที่สุด

อายุปาเข้าไปหกสิบปีแล้วแต่ยังดูดีมาก เป็นคนเมือง Maartricht มีชื่อเสียงในแนวเพลงวอลซ์ วงดนตรีของเขาชื่อ "Johann Strauss Orchestra" ซึ่งเป็นวงที่ดูดีมากๆ การแต่งตัวก็สวย ไม่เคร่งขรึมแบบวงออร์เคสตร้าทั่วไป เขาไปเปิดการแสดงต่างประเทศหลายแห่งทั้งอเมริกา ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย

กะว่าจะหา DVD ของเขามาดูอีก แล้วค่อยเขียนรีวิวอีกรอบ

http://www.andrerieu.com/site/ เว็บไซต์ของ Andre Rieu

Monday, March 22, 2010

การอบรมการป้องกันและระงับอัคคีภัย





-->
22 มีนาคม 2553
วันนี้ศูนย์บรรณสารจัดฝึกอบรมการป้องอันและระงับอัคคีภัยประจำปี เป็นการทบทวน หลังจากที่เราได้อบรมในวันที่ 16-17 กุมภาพันธ์ 2552 ได้รับเกียรติจากทีมงานฝ่ายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของเทศบาลนครศรีธรรมราช นำทีมโดยหัวหน้า เกียรติศักดิ์ เทวเดช และทีมครูฝึกอีก 3 คน ที่เคยมาเมื่อปีที่แล้ว วันนี้เป็นการอบรมวันเดียวเพราะถือว่าเป็นการทบทวน
คุณเกียรติศักดิ์เริ่มจากให้ความรู้เกี่ยวกับภาพรวม และบอกแผนการอบรมว่าช่วงบ่ายจะมีการซ้อมใช้เครื่องดับเพลิงและทำการอพยพหนีภัย (ปกติควรมีพนักงานได้รับการอบรมไม่ต่ำกว่า 40% วันนี้บุคลากรศูนย์ลงชื่อเข้าฟัง 33 คน )
ปัญหาหลักเมื่อเกิดอัคคีภัยคือ ความร้อน กลุ่มควันและพฤติกรรมของคน
หลักในการจัดการคือ 1. หลักการป้องกัน 2. การระงับอัคคีภัย
โดยในการป้องกันจะมีการดำเนินการ 3 ช่วงคือ
1. ก่อนเกิดเหตุ ทำโดยการจัดฝึกอบรม การตรวจตรา การรณรงค์ป้องกันอัคคีภัย
2. ขณะเกิดเหตุ ดำเนินการดับเพลิง การอพยพหนี การบรรเทาทุกข์
3. หลังเกิดเหตุ ต้องมีการปฏิรูปฟื้นฟู
แผนการจัดการด้านอัคคีภัย มีคำคล้องจองให้จำคือ ให้ความรู้ ดูเครื่องมือ ฝึกปรือแผน
และได้ให้ดูตัวอย่างของอุปกรณ์แบบต่างๆในการแจ้งเหตุ สปริงเกอร์ ไฟ alarm
***************************************************************
ครูฝึกสงัด ได้ให้ความรู้ต่อในเรื่องวิธีการดับไฟ โดยสอนให้รู้จักถังดับเพลิงสีต่างๆ
ในการฝึกวิธีการจับเครื่องดับเพลิง
ดึง ปลด กด ส่าย

พวกเราสองสามคนได้ลองฝึกกับถังดับเพลิง(ชนิดไม่มีน้ำยาดับเพลิง)
ถังดับเพลิงจะทำงานได้ดีภายในหนึ่งปี หรือยอมให้ได้ถึงสองปีสำหรับถังใหม่ ถังที่ใช้มานานยังใช้ได้แต่ไม่ดีเท่า ให้ไปอัดน้ำยาใหม่ถ้าไม่ได้ใช้หลายปี เช่น ห้าปี ถังที่เกินสิบปีควรเปลี่ยนไปแต่หมายถึงถังที่เคยอัดน้ำยาเรื่อยๆ ระวังเรื่องสนิม
การบำรุงรักษาให้ตรวจดูความเรียบร้อยของถัง ระวังการอุดตัน

การใช้สายยางดับเพลิง
ครูฝึกอิทธิเดช ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับพื้นที่ทำงานบางส่วนของเราที่ควรปรับปรุงเช่น ห้อง theater ให้ติดอักษรสีแดงเรืองแสง ของเราไม่เรืองแสง
การค้นหาผู้ประสบภัยที่นี่ล่อแหลม ไม่มีทางออกฉุกเฉิน ยังไม่มีแผนที่การหนีไฟ
ครูฝึกสอนให้ผู้เชือกและวิธีการใช้เชือกในการหนีไฟ

เราได้ลองฝึกการอพยพกันจริงๆ ปีนี้มีการโรยตัวลงมาจากชั้นสองด้วย ตื่นเต้นมาก เสร็จแล้วยังไปฝึกการใช้สายน้ำดับเพลิง และทดลองใช้ถังดับเพลิงกับไฟที่ลุกจริงๆ สนุกสนานปนเสียวกันเลยทีเดียว

สรุปว่าได้รับการอบรมต่อเนื่องเป็นปีที่สอง ก็ดีใจที่เราได้ทำงานต่อเนื่องแบบนี้