Wednesday, November 02, 2016

แม่พลอยเมื่อสิ้นแผ่นดินที่หนึ่ง


แม่พลอยเป็นสาวชาววังในยุคสมัยรัชกาลที่ 5 ที่ใช้ชีวิตใต้เบื้องยุคลบาทพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลต่อมารวมได้ถึงสี่แผ่นดิน ชีวิตของแม่พลอยเป็นตัวละครสมมติในนวนิยายเรื่อง “สี่แผ่นดิน” ของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธ์ ปราโมช ที่มีผู้อ่านติดตามใส่ใจและห่วงใยเสมือนแม่พลอยมีตัวตนจริง และยังสงสัยกันว่าน่าจะมีใครสักคนในยุคสมัยนั้นเป็นต้นแบบ ในเรื่องนี้หม่อมราชวงศ์คึกฤทธ์ ปราโมชได้บอกกล่าวไว้ชัดเจนว่า แม่พลอยเป็นตัวละครสมมติไม่มีตัวตนจริง แต่สิ่งที่เป็นของจริงคือฉากที่บรรยายเหตุการณ์ต่างๆในหนังสือ เพราะผู้ประพันธ์ตั้งใจจะให้เป็นที่รวบรวม “รายละเอียดเบื้องหลังประวัติศาสตร์”
ฉันได้อ่านหนังสือเรื่องสี่แผ่นดินตั้งแต่อายุน้อยๆประมาณเดียวกับอายุแม่พลอยตอนเด็กๆในเรื่อง สิ่งที่แม่พลอยได้บรรยายจากสายตาของเด็กๆช่างงดงาม เมืองไทยในยุคสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นเมืองที่แสนจะสงบร่มเย็น มีความเป็นไทย มีธรรมชาติ มีวิถีแห่งไทย โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง โดยเฉพาะในวังหลวงที่แม่พลอยได้เข้าไปอาศัย ความละเมียดละไม วิจิตรบรรจง และความประณีตที่แม่พลอยได้ฝึกฝนในการเป็นสาวชาววัง ชีวิตชาววังที่มีสิทธิ์ใกล้ชิดเจ้าชีวิตของคนไทย ชีวิตที่ได้เห็นพระราชพิธีที่คนภายนอกจะไม่มีโอกาสได้เห็นอย่างใกล้ชิด ได้เห็นสิ่งที่ยอดเยี่ยม แปลกใหม่ที่เข้ามาทำให้เมืองไทยเปลี่ยนโฉมและพัฒนาในด้านต่างๆ ทำให้ฉันนึกภาพตามได้อย่างง่ายดายทั้งๆที่ไม่ได้อยู่ในยุคสมัยนั้น
นึกดูซิว่าแค่ของฝากที่แม่แช่มนำมาให้พลอยหลังจากฝากพลอยถวายตัวให้เสด็จชุบเลี้ยงก็เป็นของที่ต้องใช้เวลาใช้ความคิด
“แล้วแม่ก็หยิบชะลอมเล็กๆน่าเอ็นดูเป็นที่สุดขึ้นมาหลายชะลอม ของในชะลอมนั้นเมื่อพลอยแลเห็น ก็เกือบจะลิงโลดด้วยความดีใจ ชะลอมหนึ่งมีปลากรอบตัวเล็กๆเท่านิ้วก้อย เข้าไม้ตับไว้อย่างกับของจริง อีกชะลอมหนึ่งมีมะขามป้อมลูกเล็กๆได้ขนาด อีกชะลอมหนึ่งใส่ไข่เต่าเปลือกขาวสะอาด ส่วนอีกชะลอมหนึ่งนั่นใส่ไข่เค็มทำด้วยไข่นกกระจาบ พอกขี้เถ้าลูกเล็กๆไม่เกินปลายหัวแม่มือ แต่สิ่งสุดท้ายที่แม่ล้วงจากชะลอมคือทุเรียนกวนพวงหนึ่ง ห่อกาบหมากเรียบร้อยเป็นห่อเล็กๆ แต่ละห่อน่าเอ็นดูเพียงจะขาดใจ”
โลกของแม่พลอยช่วงแรกอยู่ในวังหลวงใต้ร่มพระบารมีอย่างเป็นสุข
จนเมื่อแม่พลอยออกเรือน ออกมาอยู่นอกวังกับคุณเปรม มีครอบครัว มีลูก ชีวิตของแม่พลอยก็เป็นหนึ่งในข้าแผ่นดินที่ใช้ชีวิตตามวิถีคนกรุงเทพยุคนั้น ได้เห็นชีวิตของชาวบ้านร้านตลาด ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสบายตามฐานะ
และแล้วก็มาถึงวันที่แม่พลอยต้องพบกับความสูญเสียที่เป็นความรู้สึกร่วมกันกับคนไทยทั้งประเทศ เมื่อรัชกาลที่ 5 ประชวรและเสด็จสวรรคตในวันที่ 23 ตุลาคม 2453 ในหนังสือ “สี่แผ่นดิน” บรรยายไว้ว่า
“ วันนั้นอากาศมืดครึ้มไปทั่ว ไม่มีแสงแดด ทำให้แลดูครึ้มเยือกเย็น ลมเหนือที่เริ่มจะพัดในเดือนตุลาคมหยุดนิ่งในวันนั้น แม้แต่ใบไม้สักใบก็ไม่มีกระดิก เสียงนกเล็กๆที่เคยร้องอยู่ตามพุ่มไม้ก็เงียบหายไป ธรรมชาติทั่วทั้งกรุงเทพดูเหมือนจะแสดงความโศกสลดในความวิปโยคอันยิ่งใหญ่ ”
“ อย่างน้อยที่สุดที่ตนจะทำได้ในวันนี้ก็คือไปคอยเฝ้าถวายบังคมพระบรมศพตามข้างถนนหนทาง ยังดีกว่านั่งอยู่ที่บ้านโดยไม่มีจิตใจจะทำอะไรถูก พอนึกออกพลอยก็รีบแต่งกายเข้าเครื่องไว้ทุกข์ บอกนางพิศให้ไปตามรถม้ามาคันหนึ่ง แล้วก็ขึ้นรถม้าออกจากบ้านสองคนกับนางพิศมุ่งหน้าไปทางถนนราชดำเนิน
ตลอดทางที่พลอยผ่านมีแต่ชาวบ้านร้านตลาด แต่งกายไว้ทุกข์นุ่งดำเดินมุ่งหน้าไปทางเดียวกันทั้งสิ้น ทุกคนมีใบหน้าอันเศร้าหมอง ส่วนมากถือดอกไม้ธูปเทียนในมือ บางคนเดินร้องไห้ดังๆ ทุกคนต่างมุ่งหน้าไปคอยกระบวนแห่พระบรมศพ เพื่อถวายบังคมสักการะในวันนี้”
“พอพระยานมาศเคลื่อนมาอยู่ตรงหน้า พลอยก็ก้มลงกราบถวายบังคม และเมื่อเงยหน้าขึ้น ตาก็พอดีไปจับอยู่ที่ใบหน้าทหารที่ยืนรายทาง ทหารคนนั้นยืนถือปืนกลับปลายกระบอกปืนก้มหน้าไม่มีกระดิกตามที่ได้รับคำสั่ง ใบหน้าของทหารคนนั้นเป็นใบหน้าของเด็กหนุ่มชาวบ้านนอกเหมือนกับเด็กหนุ่มคนอื่นๆที่เกณฑ์เข้ามา แต่สิ่งที่เข้ามาปลดปล่อยความรู้สึกของพลอยให้ประทุออกมาทั้งหมดก็คือใบหน้าของทหารหนุ่มนั้น มีทางน้ำตาเป็นทางยาวไหลออกมาจากเบ้าตาทั้งสองข้างและน้ำตานั้นไหลอยู่ไม่ขาดสาย พลอยเป็นคนไม่ค่อยแสดงความรู้สึกออกมาให้คนอื่นเห็น แต่เมื่อเห็นหน้าทหารคนนั้นด้วยแสงเทียนที่ถืออยู่ พลอยก็ปล่อยโฮออกมาอย่างหมดอับอาย”
ในความเป็นเด็กสิบขวบ ฉันอ่านมาถึงตอนนี้ ก็อ่านผ่านเลยไป เพราะไม่ได้มีความรู้สึกร่วมใดๆ
เหตุการณ์ในวันที่ 23 ตุลาคม 2453 เหมือนกลับมาซ้ำรอยเดิมในวันที่ 13 ตุลาคม 2559 เวลาผ่านไป 106 ปีแล้ว นับจากวันที่แม่พลอยไปคอยถวายบังคมพระบรมศพ และฉันได้อ่านหนังสือสี่แผ่นดินมาหลายสิบรอบแล้วเช่นกัน แต่การกลับมาอ่านหนังสือ “สี่แผ่นดิน” ในวันนี้ ฉันร้องไห้น้ำตาไหลไม่ขาดสาย และคงจะร้องไห้อีกหลายครั้งหากกลับมาอ่านอีกในอนาคต
เข้าใจแล้วกับความรู้สึกที่ว่า “เกิดมาในแผ่นดินของท่านที่รู้สึกว่าเป็นสุขมาแต่น้อยคุ้มใหญ่ มีชีวิตอยู่ได้ด้วยความแน่นอนเหมือนกับว่ามีต้นโพธิ์ต้นใหญ่คุ้มกันอยู่ให้ได้รับความร่มเย็นเพราะพระบารมี”
เนื้อหาบางส่วนคัดจากหนังสือ “สี่แผ่นดิน” ของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช
ภาพจาก เว็บไซต์ https://news.thaipbs.or.th/content/256946
วิดีโอการเคลื่อนพระบรมศพจากโรงพยาบาลศิริราชไปที่พระบรมมหาราชวัง https://www.youtube.com/watch?v=ltWPF_I1Swk

No comments: