Friday, July 27, 2007

สาละลังกา เขาว่าไม่เกี่ยวกับพุทธประวัติเลย จริงไหมนะ?

ตั้งแต่เด็กๆ จำได้จากหนังสือที่อ่านในชั้นเรียนว่าพระพุทธเจ้าประสูติใต้ต้นสาละ ที่สวนลุมพินี ไม่เพียงแค่นั้น ยังทรงก้าวเดินได้เองถึง 7 ก้าว และเมื่อถึงวาระที่พระองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานก็ได้เสด็จอยู่ใต้ต้นสาละคู่ที่พระราชอุทยานต้นสาละ ในเมืองกุสินารา เรียนแล้วก็แล้วกัน ไม่เคยเห็นกับเขาหรอกต้นสาละ อีกนานเลย จนเริ่มเข้าเรียนปีหนึ่งที่คณะวิทยาศาสตร์ ที่คณะมีต้นไม้ต้นหนึ่งหน้าตาประหลาดมาก ต้นใหญ่ใบเยอะ สูง ลำต้นตรงและแตกเป็นรอย แต่บริเวณกลางลำต้นจะมีกิ่งย้อยลง และมีดอกไม้หน้าตาประหลาด จะว่าสวยก็ได้ แปลกก็ได้ เป็นดอกสีชมพูใหญ่กลีบหนา เกสรกลางดอกดูคล้ายๆต้นกาบหอยแครงคือมีขนๆสีอมเหลือง บางกิ่งจะมีลูกห้อยมาด้วย ยิ่งแปลกหนักเพราะหน้าตาเหมือนลูกปืนใหญ่เป็นสีน้ำตาล พี่ๆที่มหาวิทยาลัยบอกว่าต้นนี้ชื่อ cannon ball แปลว่าลูกปืนใหญ่ (สมชื่อมาก) และอีกชื่อหนึ่งคือชื่อ "สาละลังกา" และพี่ๆก็สอนมาอีกว่า "อย่าไปเด็ดดอกไม้เลยเชียวนะน้อง ถ้าเด็ดดอกนี่สอบติด F แถมถ้าน้องเด็ดเจ้าลูกบอลนี่ถึงขั้นรีไทร์เลย" ทีแรกสาละต้นนี้ก็อยู่ที่หน้าดรงอาหารเก่า ( union ) หน้าตึกชมรมวิชาการ อยู่ใกล้ๆตึกแถบ ( สมัยนั้นตึกแถบเพิ่งสร้างเสร็จ) แต่หลายปีมานี้เขาย้ายต้นสาละต้นนั้นไปอยู่ที่ข้างตึก Photo (เทคโนโลยีการถ่ายภาพ) ตรงข้ามตึกจุลฯที่เป็นโรงอาหารในปัจจุบัน(ต้องเสริมอีกว่าสมัยที่เรียนตึกจุลฯเพิ่งถูกปรับปรุงเหมือนกัน ตอนเรียนปี 1 ยังทันได้เข้าชมรมทั้งหมายซึ่งไปสิงสถิตย์กันอยู่ที่ตึกจุลฯเป็นห้องๆ

สงสัยเหมือนกันว่าคนย้ายต้นสาละจะรีไทร์จากมหาวิทยาลัยรึเปล่า

หลังจากที่ได้เห็นต้นสาละลังกา ก็เชื่อมาโดยตลอดว่าต้นที่เห็นคือต้นสาละที่อ้างถึงในพุทธประวัติ เพราะไปตามวัดที่ไหนก็เจอ ต้นที่ประทับใจที่สุดคือที่สิงห์บุรี ไม่แน่ใจว่าที่วัดพระนอนจักรสีห์หรือเปล่า แต่ต้นสาละลังกาที่นั่นต้นใหญ่มาก แถมมีรูปปูนปั้นแสดงตอนพระพุทธเจ้าประสูติ ทรงเดินและมีดอกบัวบานรองรับพระบาท 7 ดอก ครั้งนั้นเราไปเที่ยวกันเป็นครอบครัว คุณพ่อซื้อต้นเล็กๆที่เขาเพาะพันธ์ขายมา 2 ต้น รู้สึกจะไปปลูกที่วัดตโพทารามที่ระนอง

แต่พักหลังๆเริ่มอ่านหนังสือมากขึ้น มีข้อมูลว่าต้นสาละลังกา กับสาละเฉยๆนี่เป็นคนละต้นกัน และต้นสาละในพุทธประวัติคือต้นสาละเฉยๆไม่ใช่สาละลังกา อืมม์ ก็เริ่มงงๆ แล้วจะเชื่อที่ไหนดี ในหนังสือก็ฟังดูมีเหตุผล แต่ในวัดต่างๆมีต้นสาละลังกามากมายหลายวัดจนไม่แน่ใจว่าแล้วคนเก่าคนแก่ พระท่านที่มีความรู้จะไม่ทราบหรือว่าต้นสาละลังกามันไม่ใช่

ไปอ่านวารสารราชบัณฑิตฉบับหนึ่งมีคำอธิบายเรื่องต้นสาละเฉยๆ สาละลังกา และต้นรัง มีภาพประกอบอธิบาย อ่านดูก็น่าเชื่อถือเพราะเป็นหนังสือของทางราชบัณฑิต

ด้านข้างพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช มีต้นสาละใหญ่ต้นหนึ่ง มีป้ายเขียนบอกว่าคุณหญิงแม้นมาส ชวลิต นำมาปลูก หน้าตามันไม่ใช่สาละลังกาจริงๆด้วย

แต่คนที่ไม่เชื่อก็มี บังเอิญเป็นคุณพ่อ ก็เลยไม่แน่ใจว่าจะเชื่อใครดี แต่ต้องเชื่อข้อมูลละค่ะ มันเชิงประจักษ์นะคะ สาละลังกาไม่ใช่ต้นไม้ในพุทธประวัติค่ะ

1 comment:

montasavi said...

พุทธศาสนาในสายตาแม่ชีฝรั่ง

ศาสนาพุทธในสายตาของฉันนั้นไม่ใช่เป็นเพียงแค่ศาสนา แต่ยังเป็นปรัชญาชีวิต เราไม่จำเป็นที่จะต้องเชื่อทุกสิ่งทุกอย่าที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ชีวิตของเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับพระผู้เป็นเจ้าดลบันดาลให้เป็นไป แต่ชีวิตเป็นของเรา เราสามารถที่จะมีชีวิตที่ดีได้ หรือไม่ดีก็ได้อยู่ที่การทำตัวของเราเองเราเท่านั้นที่เป็นที่พึ่งของตัวเรา พระพุทธเจ้าไม่เคยทรงตรัสว่าให้เชื่อ แต่ท่านสอนให้เราหาความจริงด้วยการปฎิบัติเอง พิสูจน์ทดสอบธรรมะที่ท่านตรัสไว้ ด้วยการปฎิบัติให้รู้จริงด้วยตัวเอง คำนี้เองที่ทำให้ฉันสนใจพุทธศาสนา ที่ฉันไม่ต้องทำตัวเหมือนเป็นลูกแกะ ที่เอาแต่เดินตามคนเลี้ยง

ด้วยคำสอนของครูบาอาจารย์เราก็สามารถนำมาเป็นวิถีทางแห่งการปฎิบัติ แต่ทุกคนก็ยังคงต้องปฎิบัติ ด้วยตนเอง ไม่มีใครมาทำแทนให้ได้ เราควรดีใจที่วันนี้ยังมีครูบาอาจารย์ที่พอจะมีความรู้จากประสบการณ์มาถ่ายทอดให้ด้วยตัวเอง สอนในวิถีทางที่ถูกต้องซึ่งสำคัญมาก เราไม่สามารถเข้าใจได้ ถ้าเราฟังธรรมะแต่เพียงอย่างเดียว เราจะได้ความรู้จากการอ่าน แต่ถ้าเราต้องการจะรู้จริงให้ลึกซึ้ง ต้องปฎิบัติด้วยตนเอง เป็นทางเดียวที่จะรู้ได้ บางครั้งมีคนมาถามฉันเกี่ยวกับพระเจ้าว่า พระเจ้ามีจริงหรือไม่ ฉันก็ตอบว่า "พระเจ้ามีจริง แต่ ฉันเชื่อในแนวทางที่พระพุทธเจ้าสอน พระพุทธเจ้ารู้ทุกอย่างในโลกนี้ รู้ทั้งจักรวาล พระองค์ยังคงรู้เรื่อง พระเจ้าด้วย และท่านยังคงรู้ว่าใครสร้างเรา นั่นก็คือตัวเราสร้างตัวเราเอง"


วิบากกรรม
มีทุกข์และการดับทุกข์อยู่ที่ใจเรานี้เอง ไม่มีใครมาลงโทษเราเว้นตัวเราเองที่จะได้รับผลแห่งการกระทำของเรา ไม่มีใครให้รางวัลเราโดยที่เราไม่ได้ทำความดีอะไร ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว นั่นคือสิ่งทั้งหมดที่เป็นไป ไม่มีพระเจ้าสร้าง เราสร้างทุกอย่างเอง เราเห็นวิบากกรรมอย่างนี้ เราจะระมัดระวังการกระทำของเรา บาปที่เราทำมันจะย้อนกลับมามีผลกับตัวเราเอง
จากการที่เข้าใจอย่างนี้ ความกลัวในการทำบาป ความละอายต่อบาป จะเกิดขึ้นในใจ ไม่ใช่กลัวว่าพระเจ้าจะลงโทษ เราเข้าใจในบาปที่เราทำไปว่ามันจะมามีผลกับเราอยู่ในใจเรา ตลอดเวลา เมื่อมากๆขึ้น ผลมันก็ก่อให้เกิดทุกข์ให้กับเรา และทุกอย่างที่เราทำดีมันก็จะเป็นวิบากกรรมที่ก่อให้เกิดความสุขทุกอย่างอยู่ที่เราเลือก ทุกข์หรือสุขเราเลือกเอง

ความดับทุกข์
สิ่งหนึ่งที่สำคัญในคำสอนของพระพุทธเจ้าคือ ความดับทุกข์ ไม่มีเกิด ไม่มีแก่ ไม่มีเจ็บ ไม่มีตาย มันมีผลทำให้เราไม่ติดสุขไม่ติดทุกข์ มีอุเบกขา ที่เรียกว่านิพพาน
ไม่มีคำสอนในศาสนาอื่นใด สอนทางออก ทางแก้ทุกข์ในเรื่องของการเกิด การแก่ การเจ็บ และการตาย ที่เรียกว่า " สังสารวัฎร" แน่นอนว่าทุกศาสนานั้นดี อยากให้ทุกคนเป็นคนดี เค้าสอนเรื่องศีลจะได้ไม่มีบาป ไม่ไปเกิดในนรก หรือไปเกิดเป็นเปรต เป็นสัตว์เดรัจฉาน สอนให้คนทำดี เกิดมาอีกที่อย่างน้อยก็ขอให้ได้เป็นคน ที่ไหนมีการสอนทางออกจากสังสารวัฎเป็นไม่มี และด้วยพระกรุณาอันยิ่งใหญ่ที่พระพุทธเจ้าท่านทรงสั่งสอนศิษย์ ที่เรียกว่า มรรคองค์แปด ธรรมะที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ไว้ ให้เราดูทุกข์ สมุทัย นิโรจ มรรค และทางดับทุกข์ โดยดับสมุทัย เราสามารถทำได้โดยปฎิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า และนี่คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเมื่อ 2500 ปีมาแล้ว จนทุกวันนี้มีลูกศิษย์สำเร็จมรรคผลเป็นล้านคนได้ เราโชคดีที่เรายังมีพระอริยเจ้าคอยสั่งสอน เราจึงไม่ควรจะเสียเวลา มาดับทุกข์ของตัวเราเองเลย และมาสำรวจดูความสงบสุขและการหลุดพ้นกัน

ความกรุณา
บางครั้งคนเรามักจะพูดถึงพระและแม่ชี รวมถึงผู้ปฎิบัติธรรมอื่นๆ ตามแนวทางการปฎิบัติพุทธศาสนาแบบเถรวาทว่า เป็นการปฎิบัติเพื่อตัวเองเท่านั้น พวกเค้าต้องการทางหลุดพ้นจากความทุกข์และสังสารวัฎร โดยไม่เอาใจใส่ต่อผู้อื่น แต่สำหรับฉันไม่ได้คิดเช่นนั้นกับแนวทางการปฎิบัติเพื่อพัฒนาสติปัญญา แต่ถ้าปราศจากความเมตตากรุณาต่อผู้อื่น พวกเค้าเหล่านั้นก็ไม่สามารถจะบรรลุถึงปัญญาได้
ฉันเห็นว่าบางเวลา ฉันก็สามารถทำให้บางคนมีความสุขได้ และฉันก็มีความสุขใจยิ่งกว่า และ ความสุขใจนั้นทำให้การปฎิบัตินั้นง่ายขึ้น ถ้าใจเราไม่มีความสุขก็ยากที่จะปฎิบัติให้ได้ผลดี ดังนั้นการที่ฉันช่วยให้ผู้คนมีความสุขนั้นก็เท่ากับช่วยตัวฉันเองด้วย ถ้าเราพบว่าเรายังมีความความทุกข์อยู่ ซึ่งเป็นธรรมดาของมนุษย์ผู้ที่ยังเวียนว่ายตายเกิด เราก็จะรู้ได้ว่าไม่ใช่แต่เราเท่านั้นที่ยังมีความทุกข์ แต่มนุษย์ทุกคนที่ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ต่างก็เผชิญกับความทุกข์ทั้งนั้น
การที่ได้พบกับอาจารย์ที่สามารถชี้ทางออกจากทุกข์ให้กับเราได้นั้นนับว่าโชคดีที่สุดแล้ว เราจะสามารถปฏิบัติเพื่อหลุดพ้นจากทุกข์ด้วยตัวของเราเอง หรือ สำหรับฉันแล้วมันไม่เพียงพอ การมีครูบาอาจารย์นั้นสำคัญมาก ถ้าเรายังคงเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฎร

ดังนั้นจะดูเหมือนว่า เป็นเหตุเป็นผลกันกับที่เราทำกรรมไว้ทุกสิ่งทุกอย่าง แม้ว่าเราจะจำไม่ได้แล้วก็ตามว่า ทำอะไรไปบ้าง กรรมดี กรรมชั่ว ถ้าเราสามารถระลึกได้ว่า คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเรานี้เคยเป็นแม่ของเราเมื่ออดีตชาติใดชาติหนึ่ง และเค้ากำลังเผชิญความทุกข์อยู่ เค้าอาจจะไม่เชื่อว่าทำอย่างไรจะพ้นทุกข์ได้ แต่ทำไมเราจะไม่ช่วยเค้าคนนั้นหรือ นี้เป็นสิ่งที่สำคัญส่วนหนึ่งในการปฎิบัติ เพื่อนนักปฎิบัติธรรมในคอร์สเข้มข้นของฉันบางคน ยังคงไม่ลืมสิ่งต่างๆ บางครั้งที่ปฎิบัติเสร็จแล้วพวกเค้าก็ได้แผ่เมตตาให้กับครูบาอาจารย์ พ่อแม่ บุคคลอันเป็นที่รัก และ สรรพสัตว์ทั้งหลาย และบุคคลที่ต้องการความช่วยเหลือทางด้านจิตใจและจิตวิทยา การให้ความช่วยเหลือกับ บุคคลที่แตกต่างกันก็ต้องใช้ความสามารถที่แตกต่างกันไป และทางใดที่พวกเค้าสามารถจะช่วยเหลือให้กับผู้อื่น มีความสุขได้ ถึงแม้ว่าจะเป็นวิถีทางที่แตกต่างออกไปก็จะทำ สิ่งนี้คือธรรมมะ บางครั้งอาจจะมาก บางครั้งอาจจะน้อย แต่ถ้าปราศจากความเมตตากรุณา ปัญญาก็จะไม่เกิด ฉันเองก็ต้องการที่จะแผ่เมตตาของฉันที่มีให้กับผู้อื่นและสรรพสัตว์ทั้งหลาย ให้บังเกิดความสุขทั้ง ในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต และสิ่งใดก็ตามที่จะพัฒนาการการให้และสติปัญญาอันจะนำไปสู่นิพพาน

บริจิต สล็อตเทนเบเชอร์

http://www.vimokkha.com/nunbrigittet.htm