Wednesday, May 23, 2007

รับน้อง..ประเพณีของปัญญาชนที่ไม่ยอมใช้ปัญญาที่มี

ที่นี่ก็มีการรับน้อง ปีนี้คิดว่าจะดำเนินไปด้วยปี กลับกลายเป็นว่ามีเหตุที่ไม่น่าจะเกิดเอาดื้อๆ เสียดายกับสิ่งที่ต้องเสียไปในเหตุการณ์นี้จริงๆ

21 พฤษภาคม ตอน 8 โมงเช้า ที่ที่นักศึกษาชั้นปีที่ 1 ควรอยู่คือ ศาสนสถานตามศาสนาของตนเองซึ่งรุ่นพี่ได้เตรียมการไว้ไห้ไปทำศาสนกิจ ซึ่งจะเป็นสถานที่ในเมือง จะมีผู้หลักผู้ใหญ่ในเมืองมาแสดงความยินดีกับนักศึกษาปีนี้ มีของจัดเตรียมไว้ให้ รถที่รอรับก็เตรียมพร้อม แต่นักศึกษายังรวมตัวกันอยู่ที่บริเวณหน้าหอพัก!!!

เกิดอะไรขึ้น ความรับผิดชอบต่อส่วนรวมหายไปไหน? อยากจะถามคำถามนี้เสียจริงๆ แต่ก็รู้ว่าจะไม่ได้คำตอบที่แสดงให้เห็นว่ามีสำนึกต่อความเสียหายที่ก่อไว้ แต่จะเป็นคำตัดพ้อต่อการกีดกั้นเสรีภาพในการรับน้อง

ทำไมปัญญาชนถึงไม่ยอมใช้ปัญญา หรือที่เราคิดว่าเขาเป็นปัญญาชนมันไม่ใช่?

ได้รับโทรศัพท์จากนักศึกษาคนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มคณะทำงานจัดกิจกรรมรับน้อง โทรมาถามว่ารู้สถานการณ์ที่นักศึกษาปี 1 ไม่ได้ไปศาสนกิจหรือเปล่า ตอบว่าไม่รู้ เพิ่งตื่นตอนได้รับโทรศัพท์นี่เอง เขาบอกว่ากำลังมีการประชุมกันที่อาคารบริหาร ก็บอกเขาว่าจะตามไป

ตอนที่เข้าไปในที่ประชุม มีกรรมการองค์การนักศึกษา เข้าประชุมร่วมกับส่วนกิจการนักศึกษา มีที่ปรึกษากลุ่มสัมพันธ์เข้าประชุมด้วย เขาคุยกันมาพักใหญ่แล้ว ได้ฟังข้อมูลว่านักศึกษาปีสองได้มีการประชุมกลุ่มสัมพันธ์กันเนื่องจากเมื่อคืนมีเรื่องที่นักศึกษาปี 1 ของกลุ่ม 10 ลงมาจากหอเพื่อขอให้พี่ๆช่วยซ้อมเชียร์ให้ พี่ๆบอกว่าน้องลงมาเองไม่ได้บังคับให้ลงมา ในขณะที่ทางส่วนกิจการนักศึกษาก็บอกว่างั้นก็ต้องให้ปี 2 บอกให้น้องปี 1กลับหอไปเพราะขัดกับกติกาที่ตกลงเรื่องกิจกรรมรับน้องไว้เพียง 2 ทุ่ม นอกจากเรื่องนี้ทราบว่านักศึกษาปี 2 ได้ข่าวว่าจะมีการยุบกลุ่มบางกลุ่ม (ซึ่งไม่เป็นจริงตามนั้น) และคงมีเรื่องอื่นๆประกอบอีก แต่ข้อสรุปคือนักศึกษาปี 2 ขอยื่นข้อเรียกร้อง 3 ข้อ ข้อที่ 1 คือขยายเวลาการรับน้องจาก 2 ทุ่มเป็น 4 ทุ่ม ข้อที่ 2 คือการขอยกเลิกการใช้บัตรเหลืองและบัตรสีฟ้าที่จัดให้สำหรับนักศึกษาที่นำนันทนาการและดูแลกิจกรรมรับน้อง นักศึกษาขอให้อนุญาตให้นักศึกษารุ่นพี่คนอื่นๆเข้ามามีส่วนร่วมได้โดยไม่มีข้อจำกัด และข้อที่ 3 ขอให้กิจกรรม Walk Rally สามารถดำเนินกิจกรรมได้เหมือนการรับน้องครั้งก่อนๆโดยไม่ต้องถูกจำกัดว่าจะดุหรือบังคับน้องไม่ได้เลยเหมือนที่กำลังถูกจำกัดในกติกาปีนี้

อธิการบดีไม่ได้เข้าประชุมเพราะติดภารกิจที่อื่น แต่รองอธิการบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา (ผ.ศ. ดร. มารวย) ได้นำข้อตัดสินจากอธิการบดีมาแจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ไม่ตกลงทุกข้อเสนอที่เรียกร้องมา และกิจกรรมรับน้องโดยเฉพาะวันนี้ซึ่งเป็นกิจกรรมนำนักศึกษาไปร่วมศาสนกิจ ให้ประกาศแก่นักศึกษาที่จะเข้าร่วมกิจกรรมทุกคนให้ขึ้นรถภายใน 10 นาฬิกา ถ้าไม่ให้ความร่วมมือก็ถือว่าไม่ยุติกิจกรรม

หลังการประชุม ฉันไปที่บ้านกลุ่มสัมพันธ์ และพบว่านักศึกษาไปอยู่กันที่หน้าหอ 5 แบ่งกันเป็นบ้านๆเป็นระเบียบ นักศึกษาปี 1 อยู่ในชุดนักศึกษาเรียบร้อย ฉันลองถามดูว่าจะไปร่วมกิจกรรมหรือไม่ นักศึกษาปี 1ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า "ไม่ไป" ฉันถามต่อว่าทราบเหตุผลหรือเปล่าว่าทำไมเราถึงควรจะไม่ไป นักศึกษาตอบว่า "ไม่ทราบ ไม่ไปเพราะพี่ไม่ให้ไป" คำพูดเหล่านี้เป็นคำที่ฉันได้ยินเองกับหู แล้วจะไม่ให้เสียใจกับการตัดสินใจที่ไม่ใช้ปัญญาแบบนี้ได้อย่างไร

นักศึกษาปี 2 เข้าใจหรือไม่ว่ากิจกรรมรับน้องจัดขึ้นเพื่ออะไร การที่ดำเนินกิจกรรมไปโดยไม่เคารพกติกาและไม่นึกถึงผลที่จะตามมา ถามว่าความรับผิดชอบอยู่ที่ไหน

นักศึกษาชั้นปีที่ 1 ทั้งชั้นปีไม่มีโอกาสไปร่วมกิจกรรมศาสนกิจในปีนี้ เป็นปี 1 รุ่นแรกที่ขาดโอกาส โดยที่ตัวเองไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไร

ค่าใช้จ่ายในการติดต่อรถเข้าเมือง 35 คัน แสน-สองแสนบาท ละลายไปเฉยๆโดยไม่มีอะไรกลับมา เสียเวลาคนขับรถแถมยังอาจจะโดนดูถูกซ้ำว่าวางแผนกันเป็นแค่นี้นะหรือ เช่ารถมารอเฉยๆ ไม่มีใครได้ใช้ประโยชน์ เงินภาษีของใครที่จ่ายไป

กิจกรรมลงชุมชนของวันรุ่งขึ้นต้องถูกระงับโดยปริยายเพราะไม่มีใครแน่ใจว่าพรุ่งนี้จะดำเนินการอย่างไร กิจกรรมดีอย่างนี้ ปี 1 ไม่มีโอกาสได้สัมผัสอีกแล้ว

ที่เสียหายมากที่สุดคือภาพลักษณ์ของมหาวิทยาลัย ที่ต้องไปขอโทษผู้ใหญ่ในเมืองทั้งภาคราชการที่เตรียมการเพื่อต้อนรับนักศึกษาปี 1 เข้าเมือง ท่านเจ้าอาวาสวัดพระมหาธาตุที่ได้ขออนุญาตนำนักศึกษาไปแห่ผ้าขึ้นธาตุในวัด ทั้งๆที่ช่วงนี้ทางวัดเนืองแน่นไปด้วยคนจากทุกสารทิศเข้ามาจัดพิธีบวงสรวงจตุคามรามเทพ การที่นักศึกษาเข้าไปดำเนินศาสนกิจที่นั่น ทำให้วัดยิ่งแออัดเข้าไปใหญ่ แต่ทุกฝ่ายก็ยอม เพื่อให้กิจกรรมสำหรับปี 1 ได้มีความทรงจำที่งดงาม ภาพลักษณ์ของมหาวิทยาลัยที่เสียหายไปจากความต้องการรับน้องแบบเก่าๆ ที่เคยเห็นมาโดยไม่คำนึงถึงว่าวิธีรับน้องที่ดีควรเป็นอย่างไร

มหาวิทยาลัยอื่นเปลี่ยนรูปแบบกันไปนานแล้ว ที่นี่ยังรับน้องแบบโบราณ แล้วยังคิดว่าตัวเองรับน้องในแบบสำหรับคนรุ่นใหม่ ฉันคุยในกลุ่มสัมพันธ์ว่าการรับน้องแบบที่เขาอยากทำมันเป็นสิ่งที่ผิดไปจากติกาที่เขาตกลงกันไว้ นักศึกษาถามกลับมาว่า ไม่คิดว่านักศึกษาปัจจุบันมีความแตกต่างจากสมัยก่อนหรือครับ อนาถใจจนพูดไม่ออก บอกเขาว่าการรับน้องมันก็ไม่ผิดแผกแตกต่างกันมากหรอกตั้งแต่สมัยก่อนมาถึงสมัยนี้ ในแก่นแท้มันไม่ต่าง พูดได้แค่นั่นเพราะเหนื่อยใจเกินจะอธิบายต่อว่า สิ่งที่ต่างคือกิจกรรมที่จะสร้างสรรค์ได้อย่างไร มีความคิดมากก็มีกิจกรรมที่มีความหมาย งดงาม ความคิดน้อยๆก็มีแต่กิจกรรมใช้แรง มีแค่สันทนาการ แล้วบอกว่าเคยรับน้องกันมาอย่างนี้ พี่น้องรักกันดี กิจกรรมที่เขาทำอยู่ตอนนี้เป็นกิจกรรมที่เคยเห็นมาตั้งแต่ 10ปีก่อนที่ตัวฉันเองจะอยู่ปี 1 มาถึงรุ่นฉัน กิจกรรมเริ่มเปลี่ยนให้รุนแรงน้อยลง ใช้ความใส่ใจของพี่ๆน้องเข้ามา พี่น้องก็รักกันดีเหมือนกัน

ปีนี้มหาวิทยาลัยต่างๆมีกิจกรรมรับน้องสร้างสรรค์มากมาย ม.ทักษิณได้รับรางวัลในการเสนอวิธีการรับน้องที่สร้างสรรค์โดยการนำน้องเข้าชุมชน ซึ่งของเราก็ทำ แต่รูปแบบอาจจะนำเสนอไม่ชัดเจนเท่า บางมหาวิทยาลัยจัดนักศึกษาไปบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ร่วมกัน ฯลฯ ที่นี่เป็นอะไร.... เสนอขอให้รับน้องจัดกิจกรรมสันทนาการนานขึ้น? มีอะไรที่แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจต่อสังคมหรือชุมชนบ้างไหม?

กิจกรรมต่อจากนั้น ให้สำนักวิชาเข้ามาดูแลในช่วงบ่าย ทางสำนักวิชาต้องย้ายกิจกรรมที่เคยกำหนดไว้วันอื่นมาเป็นวันนี้ ก็เรียกตัวกันในทันที มาพบกับนักศึกษาปี 1

บ่ายสามโมงครึ่งวันเดียวกัน มีการประชุมที่ห้องประชุมศูนย์คอมพิวเตอร์ เพื่อหาแนวทางจัดกิจกรรมรับน้องต่อ โดยจะให้ทางสำนักวิชาเข้ามารับดำเนินกิจกรรม มีแผรงานออกมาเรียบร้อย แต่มีแนวคิดเสนอมาว่าน่าจะให้โอกาสนักศึกษาปี 2 ให้แก้ตัวเพื่อปี 1 ทำกิจกรรมที่ดีเพื่อน้อง ไม่ได้มีคนเห็นด้วยกับแนวคิดนี้ทุกคน แต่ทุกคนก็บอกว่า จะลองก็ได้ ขอสรุปจึงให้ที่ปรึกษากลุ่มทุกกลุ่มเข้าไปคุยในกลุ่ม แล้วให้มารวมกลุ่มตอน 6 โมงครึ่งเพื่อกำหนดว่าจะทำอย่างไรต่อ

6โมงครึ่ง กลับไปประชุม กลุ่มที่ฉันไปคุยยังอยากจะรับน้อง แต่ทั้งนี้ก็คุยกันแล้วว่าการตัดสินใจเป็นเรื่องที่ทุกกลุ่มต้องเห็นร่วมกัน กลุ่มหนึ่งกลุ่มใดไม่ทำ ทั้งหมดก็จะไม่ทำ ในการประชุมรวมที่อาคารกิจกรรม เราคุยกันหลายความคิด เพราะบางกลุ่มก็ไม่ตัดสินใจ ในที่สุดสรุปว่าให้นำประธานกลุ่มของทุกกลุ่มไปคุยกันที่สำนักงานส่วนกิจการนักศึกษา เพราะช่วงนั้นน้กศึกษาปี 1 จะต้องเข้าหอประชุมใหญ่เพื่อฟังคำชี้แจงเรื่องทุน (ประธานกลุ่มบางคนยังทำท่ารีรอว่าจะไม่ไปคุย เห็นได้ชัดว่าไม่ไว้ใจส่วนกิจการ ซึ่งก็เป็นลักษระเดยวกัยกับอีกฝ่าย) ในที่ประชุม รองอธิการบดีฝ่ายกิจการนักศึกษาได้ชี้ให้เห็นถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้วให้คุยแสดงความคิดเห็นกัน จนสุดท้ายยอมกันที่เวลา ให้ใช้เวลารับน้องจาก 3โมงครึ่งจนถึง 3 ทุ่ม แต่ข้ออื่นๆไม่ตกลง ในเวลาเดียวกันที่กำลังมีการประชุม ได้ข่าวว่านักศึกษาปี 1 (ยกเว้นนักศึกษาสำนักวิชาเภสัชศาสตร์ซึ่งเป็นรุ่นแรกไม่มีรุ่นพี่ ยังคอยกันในห้องประชุม ซึ่งฉันถือว่าเป็นการตัดสินใจที่มีเหตุผล และกล้าหาญ) ถูกพี่ๆเรียกตัวให้ลงจากห้องประชุมไปที่หน้าอาคาร ฉันไม่เห็นภาพนี้เพราะยังคงอยู่ในที่ประชุม
ในที่ประชุมมีอาจารย์ท่านหนึ่งที่เป็นศิษย์เก่าจากที่นี่ด้วย ได้ให้ความเห็นสั้นๆแต่ได้รับความชื่นชมมากว่า ตัวอาจารย์ยึดถือเรื่องกติกามาตลอด ในการทำเรื่องใดๆ เราต้องเล่นตามกติกา ในเมื่อกติกานี้มาจากการตกลงร่วมกันแล้วทำไมจึงไม่นับถือกติกานั้น สิ่งที่ควรทำคือการบริหารจัดการให้ได้ตากติกานั้นต่างหาก (จุดนี้มีนักศึกษาแสดงความเห็นเช่นกันว่า กติกาควรมีความยืดหยุ่นถ้ามันทำให้การดำเนินการทำไม่ได้ดี เช่น ได้ใช้เวลาจนถึง 2 ทุ่มมาแล้ว รู้ว่าไม่พอจึงอยากขอเป็น 4 ทุ่ม)

หลังจากนั้นพี่ๆน้องๆก็เข้าบ้าน มีการรับขวัญกันพอควร อย่างเช่นในกลุ่มที่ฉันไปดูอยู่มีการทำขนมโคเลี้ยงน้อง และต้มข้าวต้มเลียงน้อง ซึ่งเกินเวลาแน่นอน นักศึกษาก็มาปรึกษา ก็เลยบอกว่าทำไปเถอะแต่พยายามควบคุมเวลา แล้วเราไปแจ้งส่วนกิจการนักศึกษาไว้ให้ทราบว่านักศึกาได้มาขออนุญาตไม่ได้ทำอะไรพละการเกินข้อตกลง

วันรุ่งขึ้นยกเว้นช่วงกิจกรรมลงชุมชน นอกนั้นก็เป็นไปตามกิจกรรมเดิมที่กำหนด แต่ถ้าถามความเห็นส่วนตัวคงต้องบอกว่าผิดหวังมากกับการจัดกิจกรรมรับน้องในปีนี้





No comments: