เกริ่นนำ
ช่วงวันที่
26 กันยายน 2557 – 18 ตุลาคม 2557 ได้มีโอกาสเข้าร่วมโครงการ International
Visitor Leadership Program (IVLP) ซึ่งเป็นโครงการที่ทางรัฐบาลสหรัฐอเมริกาคัดเลือกผู้มีความเหมาะสมในสาขางานต่างๆจากทั่วโลกเข้าร่วมโครงการเพื่อเดินทางไปเยี่ยมชมดูงานในส่วนที่เกี่ยวข้องเป็นเวลาสามสัปดาห์
ตัวเองได้รับคัดเลือกเข้าร่วมโครงการด้าน American Library ก็จะได้เยี่ยมชมห้องสมุด
หอจดหมายเหตุ ศูนย์ข้อมูลและพิพิธภัณฑ์ต่างๆ
ได้พบปะพูดคุยกับผู้ชำนาญการที่ทำงานในด้านนั้นๆ
เป็นประสบการณ์ที่หาได้ยากยิ่งที่จะมีโอกาสหาความรู้และได้เห็นในสิ่งที่ปกติไม่ได้เปิดให้บุคคลทั่วไปได้เยี่ยมชม
ผู้เข้าร่วมโครงการนี้จะต้องได้รับการเสนอชื่อจากสถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศเท่านั้น
ไม่มีการสมัครเข้าร่วมโครงการแต่อย่างใด
ผู้เข้าร่วมโครงการจึงมักจะเป็นผู้ที่ทำงานอยู่ในสายงาน
มีการทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์แก่สังคมหรือเคยทำงานร่วมกับทางสถานทูตจนเห็นว่าเป็นผู้สมควรได้รับการส่งเสริมในส่วนนี้
ส่วนตัวถือว่าเป็นโอกาสที่ดีมากในชีวิต
ได้ทั้งความรู้ ความเข้าใจ
ได้รับการถ่ายทอดประสบการณ์จากผู้รู้และได้หารือแลกเปลี่ยนความเห็นกับผู้ที่ทำงานในลักษณะใกล้เคียงกัน
รวมไปถึงการได้เปิดหูเปิดตาในประเทศสหรัฐอเมริกา ต้องขอขอบคุณสถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยที่ได้มอบโอกาสนี้ให้
บันทึกนี้เป็นการเล่าเรื่องวันต่อวันบน
Facebook โดยไม่ได้แยกว่าเป็นเรื่องงานไปโดยเฉพาะ
แต่จะเป็นการเล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยสู่กันฟัง
การเรียบเรียงให้มีลักษณะเป็นรายงานการเยี่ยมชมอย่างเป็นทางการคงเป็นหนังสือเล่มต่อไปค่ะ
ตอนนี้มาตามทริป เดินทางไปด้วยกันนะคะ ^_^
เพื่อความดีงามในชีวิต
จงสุข
สารบัญ
IVLP#2 DC: Dupont Circle, National Mall
IVLP#3 จาก
Library of congress ถึงไบซัน
IVLP#4 Smithsonian
Natural History และ National Archive
IVLP#5 IMLS, LC,
Dept. of State, Ralph J. Bunche Library
IVLP#7 Love park,
Chinatown, Drexel Univ, Barne Foundation, Museum of Arts
IVLP#8 Old Historic
District, Amtrak to NYC, The High Line, Empire state Bldg.
IVLP#9 St. Patrick
cathedral,The Met, Mamma Mia,Time square
IVLP#10 9/11
memorial, NY Public Library
IVLP#11 Baruch Univ,
United Nation library, Rockefeller center
IVLP#12 La Guardia
airport - Austin
IVLP#13 Texas State
Library & archive Commission
IVLP#14. Texas
Department of Information Resource - St.Edward’s Univ
IVLP#15 Birds,
Bullock, and Bats
IVLP#16 360 loop
bridge, Lake Austin, The Domain, Roundrock
IVLP #17 Austin
airport-Denver-Seattle
IVLP#19 WATAP,
Microsoft, OCLC, Space Needle
IVLP#20 Washington
State Dept of Enterprise Services, Washington State Library, State Capital
Tour
IVLP#21 First
Starbucks, Office of Chief Information Technology, Argosy cruise, Underground
tour
IVLP#22 Seattle
airport - SF airport - Narita airport - Ikebukuro
วันเสาร์ที่ 27 กันยายน 2557
สามสี่สัปดาห์ถัดจากนี้
ไม่ได้อยู่ในพื้นที่นะคะ ได้มาเข้าโครงการ IVLP ที่สนับสนุนโดยรัฐบาลสหรัฐให้มาดูงานที่อเมริกาค่ะ
เดี๋ยวมานำชมสถานที่และเรื่องราวน่ารู้กันดีกว่านะคะ
วันแรก
วันที่ 26
กันยายน ออกเดินทางจากนครศรีธรรมราชด้วยเที่ยวบินเช้า
แล้วไปที่สุวรรณภูมิ ขึ้นเครื่องการบินไทยเที่ยวบิน TG 658 เวลา
23:10 น. ต่อเครื่องที่โซลเป็นไฟลท์ DL 7857 ของ Delta Airlines แล้วบินตรงมาที่วอชิงตันดีซี ถึงดีซีเวลา
11:15 น. ของวันที่ 27
กันยายน (เวลาในดีซี) ดูเหมือนใช้เวลาบินไม่มาก
แต่จริงๆจากกรุงเทพไปโซลใช้เวลา 5 ชั่วโมง 25 นาที จากโซลไปดีซีอีก 13 ชั่วโมง 45 นาที แต่ดูเหมือนว่าถึงเร็วเพราะเราเดินทางไปทางทิศตะวันออก เวลาจะต้องเปลี่ยนไปใช้เวลาท้องถิ่นของแต่ละที่
การที่เราบินไปแบบนี้จะข้ามเส้นแบ่งวัน ทำให้เหมือนได้เวลาเพิ่มขึ้นมา
เวลาที่ดีซีกับไทยจะต่างกันนะคะ เมืองไทยเร็วกว่า 11 ชั่วโมง
ถ้าต่อเครื่องที่โซล
และมีเวลา แนะนำให้แวะที่ Korean
Cultural Center ในสนามบินด้านในนะคะ จะอยู่ใกล้บูธ Information
นอกจากมีของขายแล้ว
เขามักจะมีกิจกรรมอะไรให้ผู้โดยสารได้เข้าร่วมเป็นกิจกรรมฟรี โดยแค่แสดง boarding
pass ให้เขาดูก็เข้าร่วมได้ทันที เช่น วันที่มา เขาสอนทำกระจกด้วยชุดคิตที่ประกอบด้วยกระดาษ
กระจก ของตกแต่ง ทำเสร็จเขาก็ให้เอากลับไปเป็นของที่ระลึกเลยค่ะ น่ารักและดูดีมากๆ
อีกอย่างหนึ่งคือ Free Transit
Tour สำหรับคนที่มีเวลาต่อเครื่องหลายชั่วโมงให้ลองเช็คดูนะคะ
เป็นทัวร์พาไปเที่ยวระหว่างที่รอต่อเครื่องค่ะ เมืองไทยมีหรือเปล่าก็ไม่รู้
เป็นกิจกรรมที่ได้ใจไปเต็มๆเลยค่ะ อยากให้บ้านเรามีบ้าง
ลงเครื่องที่สนามบินดีซีอย่างราบรื่น
แต่ออกมาช้าเพราะมัวแต่หากระเป๋าไม่รู้ไปลงที่สายพานไหน
กว่าจะหาเจอชาวบ้านก็ไปกันเกือบหมดแล้ว
เดินผ่านตม.ออกมาไปเดินหาซิมมือถือเพราะอยากใช้โทรศัพท์เบอร์ของที่นี่ ไปถาม Information เขาก็ไม่รู้ว่าจะซื้อได้ที่ไหน
แต่จริงๆมีตู้หยอดเหรียญขายซิมอยู่ตรงข้ามบูธ Information นั่นละค่ะ เดินไปเดินมาแล้วเห็น ก็เลยซื้อซิมมาหนึ่งอัน
จากนั้นก็ออกมาเรียกแท็กซี่ไปโรงแรม คนขับรถเป็นคนปากีสถาน ขับไปก็ชวนคุยไป
เป็นช่วงเที่ยงๆที่อากาศดีค่ะ ถือว่าเป็นการเริ่มต้นวันแรกในอเมริกาอย่างสดชื่น
ที่ดีซีเขาจัดที่พักให้พักที่
Washington
Circle Hotel บริเวณวงเวียน Washington Circle อยู่ในเมือง สามารถเดินทางด้วยรถไฟใต้ดิน(เมโทร) ได้สะดวก อยู่ใกล้สถานี Foggy Botton ชอบที่นี่มากเพราะจะเป็นเหมือนอพาร์ทเมนต์มากกว่าโรงแรม
มีห้องรับแขก ห้องครัว อุปกรณ์ครัว ตู้เย็น ไมโครเวฟ ครบทุกอย่าง หลังจากเช็คอิน เก็บข้าวของเสร็จก็ออกไปดูบ้านเมือง
เดินจากโรงแรมไปที่สถานีรถไฟใต้ดินไปซื้อบัตร SmartTrip ซึ่งเหมือนบัตรรถไฟฟ้าแบบเติมเงินบ้านเรา
ใบละ10 เหรียญ ใช้ได้จริง 8 เหรียญ
เป็นค่าบัตร 2 เหรียญ ถ้าใช้เมโทรบ่อยก็คุ้มดีค่ะ
การใช้เมโทรเหมือนบ้านเรา ไปไหนก็อ่านป้ายไปเรื่อยๆ
ที่เที่ยวในดีซีส่วนใหญ่จะเข้าได้ฟรีตามประสาเมืองหลวงของเมืองเจริญ
มีมิวเซียมเยอะมาก ใครชอบมิวเซียมต้องมาค่ะ
เสียใจแค่มีเวลาไม่พอที่จะเข้ามิวเซียมได้ทุกแห่ง
เพราะวันธรรมดาจะมีนัดดูงานเช้าบ่าย เช้าสองที่บ่ายสองที่
เลิกจากดูงานก็ต้องลุ้นค่ะ เพราะมิวเซียมหลายแห่งปิดตอนห้าโมงเย็น
วันนี้เริ่มการเยี่ยมชมจุดแรกที่
Smithsonian
Air and Space Museum ไปตามความฝันที่อยากเห็นเครื่องบินของพี่น้องตระกูลไรท์
ไปดูเครื่องบินรุ่นต่างๆ ดูไปถึงยานที่ส่งไปดวงจันทร์ นิทรรศการเขาแบ่งเป็นห้องๆ
น่าสนใจมาก ใครชอบเครื่องบินและยานอวกาศจะสามารถอยู่ได้เป็นวันค่ะ
แต่วันนี้เวลามีน้อยใช้สอยประหยัด ดูพอเป็นไอเดียแล้วมาอ่านหนังสือตามทีหลังแล้วกัน
จากนั้นก็เดินค่ะ เดินเอาจริงเอาจัง เดินไปหอศิลป์ซึ่งก็ปิดแล้ว Newseum ก็ปิดแล้ว ต้องมาวันอื่น ก็เดินไปย่านไชน่าทาว์น มีซุ้มจีนที่จะเห็นเป็นสง่าเหมือนทุกเมือง เดินไปถ่ายรูปที่ White House
จบไปหนึ่งวันอย่างมีคุณค่าค่ะ
IVLP #2 DC: Dupont Circle, National Mall
วันอาทิตย์ที่ 28 กันยายน 2557
เดี๋ยวนี้ไปไหนไม่ค่อยกลัวเรื่องเส้นทางเพราะมี
Google
map มีแอพต่างๆนำทาง ไม่ค่อยหลงเพราะจะเปิดให้แทบเล็ตจับตำแหน่ง GPS
ของตัวเอง เวลาเดินไปทางไหนก็รู้ทิศทางตลอด ขอแค่แบตไม่หมด แต่ก็นะ...ยุคนี้ก็มี
power bank อีก
ตัวอย่างเช่น ถ้าจะหาร้านแม้แต่จะหา
7-11
หรือร้านอื่นๆ หรือไปรษณีย์ เดี๋ยวนี้ก็มักจะมีการขอเช็คตำแหน่งปัจจุบันของเราแล้วจะค้นสาขาที่ใกล้ที่สุดมาให้
สะดวกมากจริงๆ มาที่นี่ก็ไม่รู้ว่าอะไรอยู่ที่ไหน แต่อยากซื้อของในซุบเปอร์มาร์เกตพวก
น้ำส้ม ขนมปัง ผักสด เนื้อสด จะได้เอามากินเวลาเข้าห้องมาแล้ว ลองค้นร้าน Whole
Foods เป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ขายสินค้าออร์กานิก ปรากฏว่ามีสาขาที่อยู่ใกล้โรงแรม
อยู่แถวถนนที่ 22 กับถนน I ก็เลยเดินไปสำรวจตลาด
ได้ของกินมาพอสมควรตามมาตรฐานจงสุข
กลับมาก็มาพบผู้ประสานงานที่จะเดินทางด้วยกัน
ทริปนี้เขาจะจัดผู้ประสานงานให้หนึ่งคนเพื่อเดินทางไปด้วยกันกับเราตลอดสามสัปดาห์
จะดูแลเรื่องการนัดหมายทุกอย่าง พบว่าเป็นคนอเมริกันชื่อคุณปีเตอร์
ท่าทางเป็นคนใจดี คุยกันแล้วก็เข้ากันได้ดี ดีใจมากเพราะเชื่อว่าถ้าได้เดินทางกับเพื่อนร่วมทางที่ดี
ทริปนั้นจะสนุกสนานมาก หลังจากนัดแนะกำหนดการแล้วก็แยกย้ายกันแล้วรอนัดต่อไป
เป็นนัดกับ หนูเดือนและสามี หนูเดือนเป็นหญิงสาวที่ไม่ได้เจอกันมา 12 ปี เพราะเป็นลูกศิษย์รุ่น 1 ที่มาตั้งรกรากมีครอบครัวอยู่ที่นี่
จริงๆมีอีกสองสาวที่ติดต่อไว้แต่สาวหนึ่งช่วงนี้ไปฟลอริดาเลยไม่เจอ
อีกสาวอยู่ชิคาโกก็ไม่เจอ พูดถึงรุ่นนี้ออกมาอยู่เมืองนอกกันหลายคนนะคะ ดีๆๆ จะได้เดินสายเยี่ยมกัน
:)
วันอาทิตย์เป็นวันที่เหมาะจะไปตลาดค่ะ
เราเดินจากโรงแรมไปดูผลิตภัณฑ์เกษตร พืชผักสดๆจากฟาร์มที่ DuPont Fresh
Farm market. มีผักผลไม้สดๆน่ากินขายเยอะแยะเป็นตลาดใหญ่ ก็เพิ่งเคยเห็นดอกกระหล่ำสีม่วงและสีส้มที่นี่เอง
แต่ไม่ได้ซื้ออะไรกลับมาเพราะไม่อยากขนของ ยังต้องไปเที่ยวอีกทั้งวัน
ออกจากตลาดขึ้นเมโทรจาก
Dupont
Circle ไปลงที่ Gallery place แวะกินอาหารกันที่ร้านอาหารเม็กซิกัน
ร้านน่ารัก อาหารก็น่าสนใจ เช่น เมนูตั๊กแตนเป็นต้น จากนั้นไปดูงานศิลป์สวยๆที่ National
Gallery of Art มีงานสวยๆเยอะเลยค่ะ มีงานของ Titian,
Davinci , Renior, Cezane, Picasso, Monet, Degas ,และอื่นๆอีกมากมาย
ออกจากแกลลอรี่ก็เดินตามเส้น
National
mall ไป Botanic garden เป็นสวนที่จัดได้ดีอยู่กลางกรุงกันเลย
เดินไปอีกหน่อยก็เป็น US State capital เสียดายที่ไม่ได้เข้าไป
ก็เดินเล่นกันไปเรื่อยค่ะ หลังจากนั้นก็ได้เวลาอาหารเย็น มื้อนี้ไปกินอาหารบราซิลเลี่ยน
เราเลือกกินแบบที่ให้เขาเสิร์ฟอาหารที่โต๊ะ วิธีเสิร์ฟคือเขาจะมีเนื้อหลากหลายเป็นเนื้อส่วนต่างๆ
ซี่โครง หมู ได้ ไส้กรอก เนื้อแกะ แต่ละอย่างจะมีคนหนึ่งคนถือแท่งเสียบชิ้นเนื้อเดินไปตามโต๊ะ
ทุกคนที่มากินจะได้แผ่นป้ายคล้ายที่รองแก้ว แต่จะเอามาวางบนโต๊ะเป็นสัญญาน โดยถ้าหันแผ่นที่เป็นสีเขียวหงายขึ้นแสดงว่าเราต้องการให้เสิร์ฟ
เมื่อไหร่รู้สึกอิ่มไม่ต้องการให้เสิร์ฟก็หงายแผ่นด้านที่เป็นสีแดงขึ้น มื้อนี้กินอิ่มมากๆ
เนื้อที่นี่คุณภาพดีและปรุงได้อร่อยมาก กินกันจนแทบจะเดินไม่ไหวเดียว
ต่อจากนั้นไปเดินผ่านแถว Federal Triangle ก่อนจะกลับที่พัก
คืนนี้รับลูกศิษย์แกะสลักเพิ่มอีกคนหนึ่ง นั่งเล่นกันเพลินเลยประสาไม่ได้เจอกันนาน
:)
IVLP #3 จาก Library
of congress ถึงไบซัน
วันจันทร์ที่
29
กันยายน 2557
วันนี้เป็นวันแรกของการดูงาน
เริ่มจากการไปห้องสมุดรัฐสภาเพื่อไปคุยกับหน่วยงานที่ดูแล Integrated
Library System (ILS) ได้ข้อมูลเกี่ยวกับการรวมระบบต่างๆที่สนับสนุนการทำงานของห้องสมุดตั้งแต่
Acquisition Cataloging etc. ซึ่งต้องประสานงานกับทาง IT เพื่อให้ระบบต่างๆทำงานด้วยกันได้
ระบบที่ใช้ปัจจุบันเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 1999 และกำลังจะปรับเปลี่ยนให้เป็น
Next Gen
ได้คุยอยู่ที่นี่
45
นาทีแล้วก็ข้ามไปฝ่ายไอที ได้ไปคุยกับ IT Project Manager เพื่อคุยเกี่ยวกับลักษณะการทำงาน ที่นี่มีสต๊าฟประมาณ 200 คน ดูแลไอทีทั้งหมดทั้งเรื่องเครือข่าย ระบบการบริหารงานทั่วไปเช่น
การเงิน payroll ( โดยใช้ระบบของหน่วยงานอื่นที่อนุญาตให้ใช้)
แต่ระบบห้องสมุดมี vendor ดูแล ตอนนี้ทางไอทีเน้นไปทางด้าน Digital
Content เช่น ทำระบบให้ทำการ digitize ได้ง่าย
ได้คุยกันหลายเรื่องที่น่าสนใจเช่น เหตุผลในการเลือกใช้ vendor แทนที่จะดูแลเอง ขั้นตอนในการเลือก vendor เพราะที่นี่จะสนใจบริษัทที่สามารถทำงานไดัจริง
มีระบบที่สามารถทำงานที่ต้องการได้
วิธีการเลือกจะดูจากการให้ข้อมูลเบื้องต้นไปแล้วกำหนดการทดสอบ
จากนั้นดูว่า vendor
เจ้านั้นสามารถทำได้หรือไม่ ได้คุยกับเขาเกี่ยวกับเรื่องระบบคุณภาพเพราะบ้านเราต้องทำงานเอกสารกันมากมาย
ของที่นี่การควบคุมคุณภาพในการทำงานไม่ได้เน้นการใช้เอกสารมาจับคุณภาพ
แต่ควบคุมด้วยการทำงานจริงของแต่ละโครงการ และมี code review ซึ่งเป็นลักษณะที่เพื่อนร่วมงานมาดู code ด้วยกัน
เป็น Peer review ที่มีประโยชน์มาก
ช่วงเวลา 11:45 -
12:30 น. เป็นช่วงเบรคสั้นๆเพื่อกินอาหารกลางวัน ก็เนียนไปกินข้าวในคาเฟทีเรียบนชั้น
6 ที่นี่ก็เหมือนๆคาเฟทีเรียตามออฟฟิซทั่วไปคือมีอาหารให้เลือกเยอะแยะ
เราตักใส่จานกระดาษตามที่ต้องการ ตอนจ่ายเงินเราต้องไปเข้าแถวจ่ายเงิน
เขาจะมีเครื่องชั่งวางไว้เพื่อคิดราคาอาหาร หยิบมาหนักเท่าไรก็คิดราคาตามนั้น
ช่วงบ่ายไปที่บริษัทที่จัดการดครงการนี้
ได้พบกับทีมเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลจัดโปรแกรม
เพื่อทำความเข้าใจว่าโปรแกรมนี้เป็นอย่างไร มีจุดมุ่งหมายอย่างไร มีอะไรที่ต้องทำ
ควรทำและไม่ควรทำ เขาทำงานแบบมืออาชีพกันมากทีเดียวค่ะ
หลังจากนั้นรับฟังการบรรยายอีกสองชั่วโมงเกี่ยวกับระบบการเมืองการปกครองของสหรัฐอเมริกา
เช่น รัฐธรรมนูญ การแบ่งอำนาจการปกครอง หน้าที่ของแต่ละฝ่าย พรรคการเมือง How a bill
become a law Lobbying Referendum Recall เป็นต้น
ได้เข้าฟังพร้อมๆกับ IVLP กรุ๊ปอื่น มีมาจาก กัมพูชามาสิบคน
เกี่ยวกับเรื่องของเด็ก และมีจาก ประเทศไทยด้าน Media Literacy อีกสองคนที่ได้คุยกันตั้งแต่ต่อเครื่องที่โซล
เสร็จแล้วมาคุยกับทีมงานต่อเรื่องการเตรียมโปรแกรมทั้งหมด
เป็นอันว่าหมดโปรแกรมของวันนี้ ไม่ได้โพสต์รูปในการประชุมเพราะที่นี่ค่อนข้างระมัดระวังในเรื่องความเป็นส่วนตัวค่ะ
ตอนเย็นไปเยี่ยมบ้านหนูเดือน
เพราะนัดแนะกันว่าจะไปกินสเต๊กที่ร้าน Ted s Montana Grill ตั้งใจจะไปกินเนื้อไบซัน
อาหารอเมริกันอย่างจริงจัง เคยไปดูไบซันที่ Yellowstone ตอนนั้นดูน่ากลัวนะคะ
แต่ตอนนี้ดูน่ากิน :) กินแล้วก็อร่อยดี อ้อ
แต่ก่อนกินก็แอบแวะซื้อของโน่นนี่นั่นตามปกติหญิงไทยนะคะ มีความสุขขึ้นมานิดนึง ^_^
IVLP #4 Smithsonian Natural History และ National Archive
วันอังคารที่
30
กันยายน 2557
วันนี้ช่วงเช้าตามนัดหมายจะไปพบกับ
Digital
Projects Librarian ของห้องสมุดที่ Smithsonian Natural
History Museum ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมมากนัก ก็เลยเดินกันไปเพราะเป็นช่วงเช้า
อากาศสดใส เดินชมเมืองไปในตัว เดินผ่าน White House อีกครั้ง
ช่วงนี้ข่าวว่ามีการรักษาความปลอดภัยแน่นหนาขึ้นมากเนื่องจากเหตุการณ์ที่มีคนปีนรั้วเข้าไปถึงประตู
White House เมื่ออาทิตย์ก่อน แถมวันนี้นายกรัฐมนตรีโมดีของอินเดียมาประธานาธิบดีโอบามาด้วย
ระหว่างที่เดินผ่านไป มีนักข่าว และเห็นคนอินเดียมารอกันหลายกลุ่ม
ไปถึง
Smithsonian
Natural History Museum เราเข้าไปรอข้างในแล้วโทรบอกว่าเรามาถึงแล้ว
เจ้าหน้าที่ที่นัดไว้ก็มาพาไปคุยกันเกี่ยวกับการ digitize ข้อมูลต่างๆ
เพื่อนำข้อมูลออกสู่ public domain ซึ่งมีทั้งการทำกับ vendor
และทำการสแกนเอง แต่งานของ vendor จะไม่เน้นว่าต้องความละเอียดสูง
ในขณะที่ถ้าทำเองจะเน้นคุณภาพมากกว่า หน่วยงานนี้โดยรวมมีสตาฟประมาณ 106 คน ดูแลห้องสมุดย่อยของสมิธโซเนียนซึ่งมีกว่า 20 ห้องสมุด
หน่วยงานนี้ให้บริการข้อมูลในรูปดิจิทัลไฟล์ซึ่งอาจเป็นข้อมูลหายาก
ข้อมูลที่มีการจัดเก็บอยู่แล้วและมาทำให้อยู่ในรูปแบบที่สามารถสืบค้นได้
ที่นี่มีเครือข่ายกับหน่วยงานต่างๆมากมายทั้งในและต่างประเทศ งานที่ทำก็หลากหลาย
ตัวอย่างเช่น BHL Biodiversity Heritage Library ซึ่งเป็นคอลเลคชั่นที่ค้นได้ละเอียดมาก
นอกจากนั้นก็มี research tools หลายตัวที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อช่วยนักวิจัยให้ค้นข้อมูลง่ายขึ้น
การทำงานมีระบบ Metadata Collection and Workflow System(Macaw) เป็นขั้นตอนการทำงานและนำไฟล์ขึ้นออนไลน์
ได้ลองถามดูว่าเขาใช้
Tools
อะไรในการพัฒนา ใช้ระบบอะไรบ้าง ที่นั่นใช้ CMS Drupal และ ระบบห้องสมุดยังคงใช้ Horizon
ในการควบคุมคุณภาพก็ทำการสุ่มตรวจงานคุณภาพความละเอียด
ข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น โดยทำการสุ่มทุกสองสัปดาห์
ได้คุยกันอีกหลายเรื่อง
รู้สึกว่าเรามักจะนึกถึงสมิธโซเนียนแค่ว่าเป็นมิวเซียม แต่จริงๆมีการทำงานเบื้องหลังอีกมากมาย
ตอนเที่ยงก็กินข้าวที่คาเฟทีเรียในมิวเซียมชั้นล่าง
ก็เลยมีเวลาได้เดินชมมิวเซียมนิดหน่อยก่อนจะถึงนัดช่วงบ่าย ที่นี่มีการจัดแสดงที่น่าสนใจหลายอย่างมาก
แบ่งเป็นห้องๆ มีหลายชั้น ของที่นี่ล้วนแล้วแต่คัดมาให้ชม
เนื่องจากก่อนมาได้ลองเดินในมิวเซียมมาแล้ว ตามดูได้ที่ลิงก์นี้นะคะ http://www.mnh.si.edu/vtp/2-mobile/001.html ส่วนตัวจุดแรกที่เดินไปดูคือปลาซีลาคานธ์ Living Fossil ชอบมาตั้งแต่เด็ก ดีใจมากที่ได้เห็น :) ใครชอบหนังเรื่อง Night at the Museum: Battle of the Smithsonian
ต้องมาค่ะ
โปรแกรมตอนบ่ายเราไปที่
National
Archive ซึ่งมีออฟฟิซสองที่
ที่หนึ่งเป็นที่จัดแสดงอยู่ใกล้ๆมิวเซียมที่ไปเมื่อเช้า แต่เราจะไป National
archive แห่งที่สอง อยู่ที่ college park ต้องนั่ง
shuttle bus ของเขาไปประมาณ 45 นาที
ข้ามไปทางฝั่งรัฐแมรี่แลนด์ อยู่บริเวณ Maryland Univ ที่นี่ก็น่าสนใจมาก
เป็นแหล่งที่นักวิจัยสามารถเข้าไปค้นข้อมูลได้ ไปถึงก็ลงทะเบียน
เข้าไปแจ้งเจ้าหน้าที่ว่าหัวข้อที่ตัวเองสนใจคืออะไร เจ้าหน้าที่ที่นั่นมีความเชียวชาญที่จะเลือกหาข้อมูลมาให้
นักวิจัยก็จะไปนั่งในที่นั่งเหมือนโต๊ะอ่านหนังสือในห้องสมุดโดยแต่ละคนจะมีกระจกกั้นพื้นที่ของตัวเอง
จะได้เอกสารมาทีละกล่องแล้วก็ค้นคว้างานของตัวเองไป สามารถเอาโน๊ตบุ๊ค กล้อง
เข้าไปได้ แต่ห้ามเอาสมุดปากกาเข้าไป เพราะเขากลัวจะมีคนเอาปากกาไปขีดเอกสารของเขา
สำหรับบุคคลทั่วไปก็สามารถเข้ามาค้นหาได้ถ้าข้อมูลเหล่านั้นถูกจัดเก็บไว้ที่นี่ อืมม์....ที่พูดมาทั้งหมดย่อหน้านี้ไม่ใช่ส่วนที่มีนัดหมายจะไปดู
ส่วนที่เป็นของเราคือการไปคุยกับ
Chief
Technology Officer ของที่นี่ฟังขั้นตอนในการทำ record
management ที่นี่ใช้ OAIS model แต่สิ่งที่ยุ่งยากคือต้นกำเนิดของเอกสารมาจากหลายที่
เช่น จาก agency ต่างๆของรัฐบาล ข้อมูลการสำมะโนประชากร
ข้อมูลจากสภาคองเกรส ข้อมูลจาก Supreme Court บางข้อมูลก็ได้จากการบริจาค
แต่ข้อมูลที่หนักหนามากคือ Presidential Record (PRA) ซึ่งต้องเก็บทันทีหลังจากประธานาธิบดีออกจากตำแหน่ง
ซึ่งข้อมูลจะเยอะมากๆ และมาในรูปแบบหลากหลาย นอกจากนั้นที่นี่ยังต้องทำ
ในเรื่องการ preservation เช่น
เอกสารสมัยก่อนถูกเก็บในรูปแบบหนึ่งปัจจุบันไม่มีการใช้งานแล้ว
ที่นี่ต้องดูแลให้แน่ใจว่าได้แปลงข้อมูลและทำการจัดเก็บตลอดไป
เพราะฉะนั้นงานจะไม่มีที่สิ้นสุด เพราะต้องปรับ format file ให้ทันยุคสมัยอย่างต่อเนื่อง
ต้องทำ metadata ให้สามารถค้นได้เมื่อต้องการ
น่าเสียดายที่มีเวลาคุยไม่มากกว่านี้ เพราะต้องกลับด้วย shutter bus ของเขาซึ่งมีเวลาออกแน่นอน
กลับมาที่
Archive
I ตั้งใจเข้าไปที่ห้องโรทันดาเพราะอยากดูเอกสารคำประกาศอิสรภาพของจริง
เขาจัดไว้ในห้องดูยิ่งใหญ่มากทีเดียว ถ้าเป็นคนอเมริกันคงอินกับบรรยากาศที่นี่มากๆ
นอกจากนั้นก็มีห้องต่างๆที่นำเสนอข้อมูลของชาติ ประวัติศาสตร์อเมริกันยุคต่างๆ
การจัดพื้นที่ให้อินเดียนแดง ยุคเลิกทาส ฯลฯ อยากมีเวลาดูมิวเซียมละสามวันจริงๆเลย
หมดช่วงการดูงานก็กลับสู่โหมดการใช้ชีวิตปกติคือ
ออกไปช้อปปิ้ง ไปกับหนูเดือนเหมือนเดิม ไปที่ Pentagon city มีทั้งห้าง Nordstrom
และ Macy ปกติจะชอบเดิน Nordstrom มากกว่า วันนี้เจอน้องที่เคาน์เตอร์เครื่องสำอางเป็นน้องคนไทยชื่อชมพู่
พูดจาน่ารักมาก ไม่เสียชื่อสาวไทยจริงๆ สวยและก็แต่งหน้าเก่ง เป็นที่ถูกใจป้าๆมาก
อย่ากระนั้นเลย... :)
IVLP #5 IMLS, LC, Dept. of State, Ralph
J. Bunche Library
วันพุธที่
1 ตุลาคม 2557
วันนี้โปรแกรมการดูงานยังคงน่าสนใจอย่างต่อเนื่อง
เริ่มจากช่วงเช้าไปที่ Institute
of Museum and Library Services (IMLS) ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมมากนักห่างกันไม่กี่บล็อก
ก็เดินไปสบายๆ วันนี้ฝนตกจริงๆตกตั้งแต่เมื่อคืน
แต่ถึงตอนที่เราเดินฝนก็หยุดตกแล้ว
IMLS
เป็นหน่วยงานที่สนับสนุนห้องสมุดและมิวเซียมในอเมริกาโดยการให้ทุน
ซึ่งมีทั้งในลักษณะที่ให้ตามการสนับสนุนทั่วไปและชนิดที่เน้นตามจุดเน้นที่สนับสนุน
โดยจะมีการประกาศทุนสนับสนุนเพื่อให้หน่วยงานทั่วประเทศสมัครเข้ามาเป็น 5
years plan จากนั้นจะทำการคัดเลือกเพื่อให้การสนับสนุนโครงการที่เหมาะสม
ไม่คิดว่ามีหน่วยงานลักษณะนี้ในเมืองไทย ตัวอย่างงานของ IMLS เช่น การที่ IMLS เป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่ชัดเจน
ตามประกาศ National Broadband plan จะมีการระบุใหั IMLS
เป็นหน่วยงานที่ดำเนินการช่วยเหลือห้องสมุดและมิวเซียม ทาง IMLS
ก็ทำการออก framework สำหรับ Digitally
Inclusive Communities ขึ้นมา โดยมีหลักการในเรื่อง Availability
and Affordability, Public Access, Accessibility for people with disabilities,
Adoption and digital Literacy, และConsumer Education and
protection จากนั้นได้คุยเรื่อง digital literacy พักนึงเพราะอยากรู้ว่าจะเอาอะไรมาวัด literacy เขาก็อธิบายว่าต้องขึ้นกับชุมชนนั้นว่าต้องการให้คนในชุมชนของเขารู้เรื่องอะไร
ออกจาก IMLS เรากลับไปที่ห้องสมุดรัฐสภาอีกครั้ง
ครั้งนี้ไปที่ตึกเจฟเฟอร์สันซึ่งเป็นตึกที่เวลาคนมาเยี่ยมชมหรือมาอ่านหนังสือจะมาที่นี่
แต่เนื่องจากโครงการนี้ไม่ใช่โครงการทัวร์สถานที่ แต่เป็นการไปพบปะพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญก็เลยไม่มีโอกาสได้เข้าร่วมทัวร์
ทางเขาก็พยายามนำให้เดินผ่านจุดที่เป็นไฮไลท์มากที่สุด คนนำชมบอกว่า
เวลาคนที่มาชมมีเวลาน้อยเขาก็จะนำชมแต่ไฮไลท์ แต่ครั้งนี้เวลาเราแน่นมาก เราจะได้ขมไฮไลท์ของไฮไลท์อีกที
งั้นเลยค่ะ น่าเสียดายเหมือนกันเวลาเดินผ่านของที่ควรค่าแก่การชมไปโดยไม่ได้ชม
แต่โปรแกรมที่ได้พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญเป็นโอกาสที่หายากกว่ามาก
เราก็เลยได้เดินเจาะเฉพาะจุด
เช่น ไบเบิ้ลฉบับเขียน ไบเบิ้ลฉบับกูเต็นเบิร์ก ได้ชะโงกดูห้องอ่านหนังสือซึ่งสวยน่าประทับใจมาก
ไปดูห้องสมุดของเจฟเฟอร์สัน ไปดูแผนที่ฉบับที่มีชื่อ America ปรากฏในแผนที่เป็นครั้งแรก
ได้เดินผ่านห้องอ่านหนังสือที่จำกัดผู้ใช้สำหรับสมาชิกสภาคองเกรสเท่านั้น
ประตูเข้าจะมีแป้นกดรหัสผ่านเก๋ๆกันเลยทีเดียว
ที่ต่อไปที่เข้าไปคุยคือ
Asia
section ซึ่งมีเอกสารเก่าของไทยจำนวนหนึ่งแต่ไม่มาก
เขาก็ยินดีที่พบเราเพราะอยากให้เราช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับเอกสารของเขาเพื่อการทำแคตตาลอก
ก็ได้คุยกันว่าเรารับจะติดต่อส่งต่อไปถามผู้เชี่ยวชาญ
ให้เขาส่งรายละเอียดสิ่งที่เขาต้องการมาได้เลย
หมดช่วงนั้นก็มีเวลาพักนิดนึงเพื่อกินข้าวเที่ยง
แวะเข้าไปกินในคาเฟทีเรียที่เดิมที่เคยมาเมื่อวันจันทร์ อาหารดีนะคะที่นี่ ;)
ตอนบ่ายไปที่ Ralph J. Bunche
Library ซึ่งตั้งอยู่ในตึกที่ทำงานของ Department of State ก่อนเข้ามีขั้นตอนการออกบัตร visitor แบบต้องมีคน escort
ให้ แล้วตรงไปที่ห้องสมุด ซึ่งเป็นห้องสมุดที่ใช้เฉพาะสำหรับคนในกระทรวงเท่านั้น
แต่ก็มีทรัพยากรมาก มีหนังสือมากกว่าสามแสนเล่ม ปัจจุบันซื้อทรัพยากรในลักษณะดิจิทัลมากขึ้น
ความที่ต้องมีการรักษาความปลอดภัยสูง คนนอกไม่สามารถเข้าใช้ห้องสมุดได้ ที่นี่จะมี
web ภายใน มีระบบวิกิของตัวเอง มีช่องทางติดต่อคล้ายๆเฟซบุ๊กของตัวเอง
ระบบห้องสมุดที่ใช้ ใช้ชุดเดียวกับของห้องสมุดรัฐสภา
ได้คุยรายละเอียดการทำงานและได้ชมหนังสือที่มีลายเซ็นของประธาธิบดีเจฟเฟอร์สัน
เป็นสมบัติของห้องสมุดที่มีคุณค่ามาก เขาพาชมสแตกเก็บหนังสือแล้วก็กลับเพื่อไปที่นัดต่อไป
กำหนดการต่อไปได้คุยกับเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลเรื่องเกี่ยวกับประเทศไทย
ซึ่งให้ข้อมูลความสัมพันธ์ อเมริกา- ไทย ในด้านต่างๆทั้งด้านการค้า การลงทุน
ความร่วมมือทางทหาร ความสัมพันธ์ในช่วงเวลาที่มีปัญหาต่างๆเกิดขึ้น ฯลฯ
หมดจากการคุยช่วงนี้เราก็รีบกลับโรงแรมเพราะต้องเดินทางออกจากดีซีไปฟิลาเดลเฟียต่อ
เย็นนั้นเราออกจากดีซีด้วยรถไฟ
Amtrak
ไปชึ้นรถไฟที่ Union station นั่งแท็กซี่ไปรถติดมาก
คือไม่ถึงระดับเมืองไทย แต่ก็ถือว่ามาก ทั้งคนนั่งคนขับนั่งบ่นกันตลอดทาง
ไปถึงก็ขึ้นรถไฟเที่ยว 6:05 pm ไปถึงฟิลาเดลเฟียที่
30th station เวลา 7:55 pm นั่งแท็กซี่ไปเข้าพักโรงแรม
Courtyard Marriot โรงแรมนี้โลเคชั่นดีมากๆเพราะอยู่หลัง city
hall พอดี
เช็คอินอะไรเรียบร้อยก็ออกไปเดินเล่นชมเมืองแถวใกล้ๆตรงนั้นเอง
เป็นเมืองสวยและคึกคักดี แถวนั้นมีฮาร์ดร็อคคาเฟ ก็เลยแวะเข้าไป :)
ไปซื้อเสื้อทึเขิ้ตค่ะไม่ได้เข้าไปดื่ม ...เมื่อก่อนเก็บสะสมเสื้อฮาร์ดร็อคอยู่พักนึง
หลังๆไม่ค่อยได้เที่ยวแบบไปเองก็เลยไม่ได้เก็บแล้ว เป็นการดีที่จะเริ่มเก็บอีก
เดินวนๆพักนึงก็กลับโรงแรมค่ะ :)
วันพฤหัสบดีที่
2 ตุลาคม 2557
โปรแกรมแรกในฟิลาเดลเฟียเริ่มที่
American
Philosophical Society ซึ่งเป็นสมาคมก่อตั้งโดยเบนจามิน แฟรงคลิน
มีบุคคลสำคัญในสาขาต่างๆเป็นสมาชิกมากมาย มีบทบาทสำคัญถือว่าเป็น this
country's first learned society (แหม ชอบคำนี้จัง)
เราไปในส่วนที่เป็นห้องสมุด ความที่เราอยู่ในกลางเมือง ก็เดินไปได้จากโรงแรม
ไม่ใกล้แต่ก็ ไม่ไกลมากนัก เป็นโอกาสดีที่ได้เดินผ่าน Liberty bell ระฆังที่เป็นไอคอนของที่นี่ ผ่าน Independence Hall ถนนที่ผ่านห้องสมุดเป็นถนนกรวดฝังลงบนพื้น
ดูสวย และดูเก่ามาก
ที่นี่ได้คุยกับผู้ดูแลเรื่อง
IT
เขาใช้ระบบ Koha เป็น open source,
Fedora Repository system, Aeon online request system และใช้ Hyper-V
ของไมโครซอฟต์ ที่นี่มีการวางแผนการบำรุงรักษา อัพเกรดค่อนข้างดี
ได้รับการสนับสนุนดี นอกจากด้านไอทีได้เข้าไปดูห้องอ่านหนังสือของที่นี่
สวยงามน่าเข้ามาก ได้ไปชมห้องเก็บหนังสือเก่า น่าประทับใจมากๆ
ทีมงานที่ต้อนรับก็อัธยาศัยดีมาก
ช่วงเที่ยงทีมงานแนะนำร้าน
wedge
and fig ปรากฏว่าเป็นร้านอาหารที่น่ารักมากเพราะมีพื้นที่กลางแจ้งอยู่ในตึก
ต้องเดินผ่านซอกตึกเล็กๆ เข้าไป อาหารอร่อย มีความสุขไปอีกมื้อ
ทางไปผ่านบ้านของเบนจามิน แฟรงคลินด้วย เดินผ่านจริงๆค่ะ ไม่มีเวลาแวะเลย
ตอนบ่ายไปที่
office
of Innovation and Technology ของ city of Philadelphia ได้คุยกับผู้บริหารด้าน operation management ซึ่งได้เล่าถึงการทำงานของเมืองที่ต้องดูแลทุกเรื่องเช่น
บริการต่างๆของเมือง ระบบโทรศัพท์ซึ่งเเปลี่ยนเป็น VoIP, 911,Philly311 ซึ่งคือเรื่องอื่นๆนอกเหนือจาก 911 มีแอพสำหรับโหลดมาใช้ได้
ที่นี่ได้รางวัล Smart city ด้วย ได้คุยลงไปในเรื่องการวัด performance
ด้วยการจับข้อมูล ที่นี่ติดต่อกับ Gartner ในการวิเคราะห์ข้อมูล.
เขาจับข้อมูลเวลาในการทำงานแต่ละงานเพื่อเปรียบเทียบ project related hours
กับ non project related hours เพื่อดูว่าการทำงานมีสัดส่วนอย่างไร ปัญหาอยู่ที่ไหน จะหา pain
point เพื่อจะได้ตั้งเป้าหมายและหาทางแก้ไขต่อไป ความที่ถามเยอะ
เขาคงเห็นว่าท่าทางไม่ค่อยรู้เรื่องก็เลยให้หนังสือมาเล่มหนึ่งบอกว่า ปกติเขาแจก manager
ของเขา ให้อ่านเป็นไอเดีย :) ขอบคุณค่ะ
ออกจาก
OIT
เดินต่อไปที่ “Free library” ระหว่างทางเดินจะผ่าน
Love park ที่มีสัญลักษณ์อักษร love น่ารักๆ
วันนี้น้ำพุที่นั่นเป็นสีชมพู
มาทราบทีหลังว่าน่าจะเกี่ยวกับการระดมทุนเรื่องมะเร็งเต้านม
ที่
Free
library ทีแรกคิดว่าเป็นห้องสมุดปกติ กลายเป็นว่าจริงๆที่นี่เป็นองค์กรอิสระที่มีห้องสมุดเพื่อให้ความรู้ประชาชนและยังช่วยเหลือห้องสมุดอื่นๆในการสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์
เป็น Internet provider ดูแลห้องสมุดที่พื้นที่ฟิลาเดลเฟีย 54
แห่ง โดยแบ่งออกเป็น 8 clusters ที่นี่จัดกิจกรรมดีๆบ่อย
เช่น เชิญฮิลลารี คลินตันมาที่นี่ เขาบอกว่ากรณีนั้นการรักษาความปลอดภัยยากมาก
เราเสร็จโปรแกรมของวันนี้ประมาณห้าโมงเย็น
รีบกลับโรงแรม เตรียมตัวไปงานเลี้ยง First Thursday Reception ซึ่งเป็นการมาพบปะสังสรรค์ทุกๆวันพฤหัสบดีแรกของเดือน
พวกเราก็จะเป็นแขกเข้าร่วมงาน ได้คุยกับคนไปทั่วๆงาน
เป็นที่สังสรรค์ที่ดีที่จะได้พบผู้คนจากหลากหลายประสบการณ์ ได้คุยกับทนายความ
จนท.ที่ดูแลเรื่อง internship โปรแกรม(ขอให้เขาส่งรายละเอียดมาให้เผื่อจะมีนักศึกษาเราสนใจฝึกงานในอเมริกา)
เจอสาวสวยทำงานแบงค์ นักศึกษาที่มาเรียนที่ Temple Univ มาจากเวียดนามและจีน
เจอคนทำงาน import-export ที่ชอบเมืองไทยมาก และได้คุยกับสาวจากบาหลีที่มาอยู่ที่นี่ทำงานด้านการจัดนิทรรศการศิลปะ.
งานเลิกประมาณทุ่มครึ่ง
Good
life in Philly
IVLP #7 Love park, Chinatown, Drexel
Univ, Barne Foundation, Museum of Arts
วันศุกร์ที่
3 ตุลาคม 2557
โปรแกรมวันนี้เราไปเยี่ยมชมมหาวิทยาลัย
Drexel
ทั้งวันเลยค่ะ ช่วงเช้าเข้าคณะ
และช่วงบ่ายไปห้องสมุดและหน่วยงานการสอนออนไลน์ แต่มีเวลาตอนเช้านิดนึงหลังกินอาหารเช้าก็เลยออกไปเดินเล่นใกล้ๆโรงแรม
ทำตัวเหมือนคนทำงานที่นี่นะคะ
เมืองฟิลาเดลเฟียเรียกกันย่อว่า
Philly
เป็นเมืองสวยและสบาย
มีพื้นที่จัดสรรให้ผู้คนได้เสพงานศิลป์และเป็นเสน่ห์ของเมืองอยู่ทั่วไป เช่น มี
อนุสาวรีย์มากมายเต็มเมือง มี Love Park ที่เป็นแท่นคำว่า love
วางไว้กลางสวนสาธารณะเล็กๆ(วันนี้น้ำพุเป็นสีม่วง
เมื่อวานเป็นสีชมพู แปลกใจเหมือนกันว่าเปลี่ยนสีตามอะไร) วันนี้ได้เดินผ่านออฟฟิซของเมือง อารมณ์ประมาณ
กทม. มีรูป mayor ของเมืองโบกไม้โบกมืออยู่หน้าตึก เก๋ๆค่ะ ข้างตึกก็มีลานหมากรุกยักษ์ เดินไปอีกนิดจนถึงสวนสาธารณะแล้วก็เดินตัดไปทางถนนอื่น
จนไปถึง Chinatown ที่ไม่ว่าเมืองไหนก็มีหน้าตาประมาณเดียวกัน
อารมณ์จีนๆเยาวราชประมาณนั้นเลย ใกล้เวลานัดก็กลับโรงแรม
กินอาหารเช้าแล้วก็ออกไปที่ Drexel Univ
นัดแรกเราไปที่
College
of Computing and Informatics อารมณ์เดียวกับสำนักวิชาที่มหาวิทยาลัยเราค่ะ
ของที่นี่เพิ่งรวม Computing เข้ากับ Library Science
เข้าด้วยกัน แอบเชยที่มาทราบว่าการเรียน Library Science ของอเมริกาเป็นการเรียนระดับปริญญาโท ไม่มีปริญญาตรี
คนที่เรียนจบสาขาใดๆสามารถมาเรียนได้
อาจเรียนจบด้านเคมีแล้วมาต่อด้านนี้เพื่อทำงานด้านข้อมูลต่อก็ได้
ที่นี่มีสหกิจศึกษาที่เข้มแข็งมาก
ตลอดหลักสูตรจะมีการออกไปปฏิบัติงานสหกิจ 3 ครั้ง ครั้งละ 6 เดือน เพราะฉะนั้นนักศึกษาจะเรียน 5 ปี
โดยมีการออกไปข้างนอกตั้งปีครึ่งเข้าไปแล้ว ที่นี่เรียนระบบสี่ภาคการศึกษา การทำ senior
project จะเป็นสองวิชา 1-2 ให้ทำกลุ่มละ 2-3
คน โดยอาจารย์จะมีหัวข้อให้ตามหัวข้อวิจัยของอาจารย์แต่ละคน
เพื่อให้มีแรงจูงใจที่นี่มีการแข่งขันประกวดโปรเจคกันด้วย Drexel Univ นับเป็นมหาวิทยาลัยขนาดกลางมีนักศึกษาประมาณสองหมื่นกว่าคน
ตอนนี้มีการเรียนการสอนแบบออนไลน์เต็มรูปแบบคือสามารถเรียนจบ ให้ปริญญาได้เหมือนหลักสูตรปกติ
ในเรื่องคุณภาพการศึกษา
ด้าน Library
Science จะมี American Library Association (ALA) มาตรวจทุกเจ็ดปี ระหว่างนั้นก็มีการทำรายงานประจำปี ในการประเมินการเรียนการสอนมีการสอบถามระบบออนไลน์
ใช้สเกล 1-10 เน้น outcome จะเป็นการถาม
เช่น ได้เรียนรู้มากแค่ไหน มีการเตรียมตัวในการเรียนอย่างไร
ได้เวลาอันควรก็ออกจากคณะ
จุดต่อไปมีนักศึกษามารับไปที่ห้องสมุด Hagerty Library ที่นี่ได้มีโอกาสคุยกับ
Dean of Libraries ที่นี่มีสต๊าฟประมาณ 60-65 คน มีตึกห้องสมุดสี่แห่ง แต่ตอนนี้ห้องสมุดที่มีคนเข้ามากที่สุดไม่ใช่ห้องสมุดเชิงกายภาพ
แต่เป็นการเข้าใช้ออนไลน์ Challenge ของที่นี่คือ
ห้องสมุดในศตวรรษที่ 21 ควรเป็นอย่างไร มีทิศทางในการบริหารงานเน้นสี่เรื่องคือ
Access. Environment. Connection และ Organization
ที่นี่มีการจัด
event
หลากหลายในการทำให้คณาจารย์แต่ละคณะได้มาพบปะกัน เช่น
วันสุดท้ายของเทอมมีการจัด Cup Scholarzip ให้อาจารย์ได้มากินกาแฟสังสรรค์พบปะกัน
จะได้รู้จักกันเพราะถ้ามีอาจารย์มากๆจากหลายคณะก็จะไม่ค่อยรู้จักอาจารย์ต่างคณะ ในงานกิจกรรมนั้นจะมีคนพูด
2-3 คนๆละประมาณ 15 นาที
(น่าทำบ้างนะคะเนี่ย)
นอกจากการพูดคุยกัน
ก็ได้มีโอกาสเดินชมห้องสมุด ไม่ได้แฟนซีอะไรมากแต่มีทุกอย่างครบตามที่ห้องสมุดควรมี
มีคอมพิวเตอร์ให้ใช้ มีเครื่องสแกนวางไว้ให้ ที่น่าสนใจคือมีเครื่องยืมโน้ตบุ๊คอัตโนมัติ
สามารถรูดบัตรเอาไปใช้ได้ห้าชั่วโมง เมื่อเอามาเสียบคืนมันก็จะชาร์จแบตให้จนเต็มพร้อมไปใช้ได้อีก
จริงๆเขาก็มีให้ยืมไอแพดด้วย (เครื่องพวกนี้ก็น่าสนใจอีกแล้ว) แถมเขามีแผนจะเอาหนังสือที่มีการจองมาใส่ในเครื่องไว้
เวลาคนที่จองมารับหนังสือ สามารถมานอกเวลาได้โดยการยืมออกกับเครื่องได้เลย
เก๋นะเนี่ย
ออกจากห้องสมุดก็เป็นช่วงพักเที่ยง
เดินหาร้านอาหารกลางวัน วันนี้ลองอาหารอิตาเลียนกันค่ะ กินพิซซ่ากับสลัดผักโขม
อร่อยอีกแล้ว กินข้าวเสร็จยังมีเวลา ก็เลยไปเดินที่ University of
Pennsylvania ที่อยู่ติดกันเพราะคุณปีเตอร์ที่เป็น liaison ของทริปนี้จบ MBA จาก Wharton ก็เลยกลับไปรำลึกความหลัง
ซึ่งนานมากแล้ว :) คุณปีเตอร์เล่าว่าสมัยที่เรียนที่นั่น ไม่ได้รู้สึกว่า Drexel
กับ Penn อยู่ติดจนแทบจะเป็นแคมปัสเดียวกันแบบนี้
เดินเข้าไปใน UPenn ให้ความรู้สึกเป็นมหาวิทยาลัยมากๆ
มีตึกเก่าๆ ต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น มีนักศึกษาเดินกันขวักไขว่
มีโต๊ะกิจกรรมต่างๆของนักศึกษา ดูดีสมกับที่มีเบนจามิน
แฟรงคลินเป็นคนก่อตั้งนะคะ ^_^
ตอนบ่ายเราไปคุยกับ
Public
Relations and Social Media Manager ของ Drexel University
Online ที่นี่ดำเนินการเป็นบริษัทที่เปิดการเรียนการสอนออนไลน์
นักศึกษาสามารถเรียนจากที่ไหนก็ได้ไม่ต้องเข้ามาที่แคมปัส ตอนนี้มีนักศึกษาจาก 20
กว่าประเทศ รวมประมาณ 15,000 คน
ทั้งระดับปริญญาตรีและโท บางโปรแกรมก็จัดเนื้อหาเป็นพิเศษให้เหมาะกับกลุ่มผู้เรียน
เช่น กลุ่มทหาร ระบบช่วยการเรียนการสอนอย่างที่เราใช้ Moodle ที่นี่ใช้ Blackboard การเรียนการสอนจะมีข้อกำหนดเช่น
นักศึกษา 15 คนต่ออาจารย์หนึ่งคน
การติดต่อจากนักศึกษาจะได้รับการตอบกลับภายใน 48 ชั่วโมง ใช้
Social media ทุกอย่างในการติดต่อกัน มี YouTube.com/drexelonline ด้วยค่ะ สามารถเข้าไปดูได้
เสร็จจากดูงานที่นี่
เป็นอันว่าหมดโปรแกรมของวันนี้ เนื่องจากเป็นวันศุกร์
มิวเซียมทั้งหลายจะปิดช้ากว่าปกติ บางที่ก็จะมีอีเว้นต์ต่างๆ ก็เลยกะว่าจะไปเยี่ยมชมมิวเซียม
เริ่มจาก Barnes
Foundation ซึ่งเป็นที่จัดแสดงภาพคล้ายมิวเซียม ที่นี่มีภาพวาดอิมเพรสชั่นนิสต์มากมาย
โดยเฉพาะของเรอนัวร์ ไม่เคยเห็นงานของเรอนัวร์ในที่เดียวมากเท่าที่นี่เลย
ดูกันจุใจมาก โดยเฉพาะภาพที่ชอบมากคือซีรี่ส์ Two girls จะเป็นภาพเด็กสาวสองคนในอิริยาบทต่างๆ
ไม่ว่าไปมิวเซียมไหนที่มีเรอนัวร์ก็จะพยายามตามหา
งานของศิลปินที่มีให้ชมจำนวนมากคนต่อมาคือ
เซซาน มีภาพ The
card players ด้วยนะคะ ตื่นเต้นมาก เพราะภาพชุดนี้มี 5 ภาพ ภาพใหญ่ที่สุดอยู่ที่นี่ มีคนห้าคนในภาพ ภาพที่มีคน 4 คนอยู่ในมิวเซียมที่นิวยอร์ก อีกสามภาพจะมีคนเล่นไพ่สองคน
ขนาดก็ค่อนข้างเล็ก ภาพหนึ่งอยู่ที่ลอนดอน
อีกภาพอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ดอร์เซย์ที่ปารีส เพิ่งตามไปดูมาเมื่อปีที่แล้ว
และอีกภาพถูกขายให้กับราชวงศ์ Qatar ในปี 2011 และกลายเป็นภาพที่มีการซื้อขายราคาแพงที่สุดในโลกที่ราคาประมาณ 250-300
ล้านเหรียญ เป็นไงล่ะ ไม่ดูไม่ได้แล้วละงานนี้
ออกมาจาก Barnes
Foundation ก็เริ่มค่ำแล้ว แต่ยังไม่สามทุ่มเราไม่หยุดค่ะ ก็เดินต่อตามถนน
Benjamin Franklin Parkway อารมณ์ประมาณถนนราชดำเนินนอก
คือมีถนนตรงกลางและมีถนนขนาบทั้งสองข้าง ต้นไม้ร่มรื่น
ที่เสาไฟจะมีธงของชาติต่างๆปักปลิวไสวกันทีเดียว
ต้องไม่พลาดที่จะไปทำหน้าชื่นชมธงไทยนะคะ :) เดินผ่าน Rodin museum ไม่ได้เข้าไปเพราะเคยไปที่ปารีส งานออริจินัลจะอยู่ที่นั่นมากกว่า
จุดต่อไปคือ Philadelphia Museum of Art วันนี้วันศุกร์ก็จะมีการแสดงดนตรี
มีคนมาซื้อเครื่องดื่มนั่งกินกันเป็นเรื่องเป็นราวระหว่างฟังดนตรี
เนื่องจากไม่ใช่คนแถวนี้ ไม่มีเวลาฟังดนตรี ต้องรีบไปชมภาพเขียนสวยๆ
ซึ่งด้วยเวลาที่มีก็ได้ดูแค่งานเขียนจากฝั่งยุโรป แต่ไม่ผิดหวังเลยค่ะ
มีงานของเรอนัวร์ เซซาน โมเนต์. แวนโก๊ะ ภาพของแวนโก๊ะที่น่าสนใจที่นี่คือภาพ Sunflower
ซึ่งก็เป็นซีรี่ส์เช่นกัน ภาพที่อยู่ที่ฟิลาเดลเฟียจะเหมือนกับที่มิวนิค
และถ้าชอบภาพของโมเนต์ที่นี่มีรูป water lily pond ด้วยค่ะ
เนื่องจากถ้ารอมิวเซียมปิดตอนสองทุ่มสี่สิบห้า
ดูจะดึกเกินไปก็เลยออกมาก่อน เพราะอยากเดินกลับโรงแรม ระยะทางประมาณกิโลกว่ามั๊ง
แต่เดินสบาย แสงสีก็สวยมากๆ กลับมาถึงโรงแรมแล้วถึงรู้สึกว่าเมื่อยมาก :)
IVLP #8 Old Historic District, Amtrak
to NYC, The High Line, Empire state Bldg.
วันเสาร์ที่
4 ตุลาคม 2557
วันนี้วันเสาร์
ไม่มีโปรแกรมนัดหมาย ก็จะมีเวลาได้ชมเมืองบ้างค่ะ เมื่อคืนฝนตก เช้านี้ก็ฝนตกอีกเล็กน้อย
เดินออกมาหน้าโรงแรมจะเห็นตึกสูงๆในย่านนั้น ชั้นบนๆจะอยู่ในหมอกเลยค่ะ
ทำงานบนนั้นคงรู้สึกมืดมัว ^_^
เริ่มออกเดินไปที่
reading
market ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่มาก อารมณ์ตลาด อ.ต.ก. บ้านเราค่ะ
มีของขายทั้งเนื้อ ผัก ปลา ชีส อาหารสำเร็จรูปก็มี มีคนแฮมิชที่ใช้ชีวิตแบบเดิมๆไม่พึ่งเทคดนโลยีสมัยใหม่มาขายของด้วย
จะแต่งตัวดูแปลกกว่าคนอื่น เดินดูตลาดแล้วก็เดินต่อไปที่ National
Constitution Center มีมิวเซียม We the people แลดูดีแต่ไม่ได้เข้าไปเพราะเวลาไม่พอ จากนั้นก็เดินไปย่านเมืองเก่า ไปบ้าน
Betsy Ross ผู้หญิงที่เริ่มใช้ธง Stars and Stripes เป็นคนแรก แล้วเดินต่อไปดูถนนสายเล็กๆชื่อ Elfreth alley เป็นบ้านเรือนคนฟิลาเดลเฟียยุคแรกๆที่อนุรักษ์ได้น่าเอ็นดูมากๆ เดินต่อไปอีก
ไปแถวริมแม่น้ำเดลาแวร์ มองไปฝั่งตรงข้ามก็เป็นรัฐนิวเจอร์ซีแล้ว
อารมณ์เหมือนอยู่ระนองมองข้ามแม่น้ำไปเป็นพม่าแบบนั้นเลย ;) มีเวลาเดินแค่เที่ยง
รีบหาแซนด์วิชกินระหว่างเดินกลับโรงแรมแล้วรีบเช็คเอาท์ไปขึ้นรถไฟ Amtrak ที่สถานี 30th street station.
รถไฟออกประมาณ 14:10 น. จอดแค่ห้าสถานี ก็ถึงแล้วค่ะ มีสถานี Trenton
- Metropark - Newark international airport- North New Jersey - Penn station มาถึงตอนสามโมงกว่าเกือบสีโมง เดินขึ้นมาบนถนนสายเจ็ดตัดกับสามสิบสาม
มองดูทิศทางแล้วก็เดินลงไปถนนสายหก สายห้า ถนนเส้นถัดไปจะเป็น Madison Ave เลี้ยวขวาที่แยกนั้น เดินไปบล็อกนึงก็ถึงโรงแรมค่ะ สะดวกดี
เก็บของเสร็จก็ออกมาเดินเที่ยวเล่น
อ่านรีวิวมาว่ามีที่เดินเล่นที่สร้างจากเส้นทางรางรถไฟเก่า
กลายเป็นที่เดินเก๋ๆของนักท่องเที่ยว พยายามดูแผนที่แล้วเดินไปเรื่อยๆ ผ่าน Madison park อารมณ์สวนสาธารณะที่คึกคักมาก
จากนั้นก็เดินไปเรื่อยๆถึงถนนสายสิบตัดกับถนนสายยี่สิบเอ็ด
เจอทางเดินลอยฟ้าที่น่ารักมาก มีนักท่องเที่ยวมาเดินกันเต็มไปหมด
ได้ยินแทบจะทุกภาษาเลยเชียว ที่นี่เรียกว่า The High Line ได้แรงบันดาลใจจาก
Promenade plantée สวนทางเดินลอยฟ้าในปารีส ใครดูหนังเรื่อง Before
Sunset จะมีฉากที่พระเอกนางเอกเดินคุยกันบนทางเดินแบบนี้ละ
ทางเดินนี้ยาวสองกิโลกว่า เดินกันเมื่อยเลยค่ะ
ลงมาแล้วก็กะจะเดินกลับโรงแรมเพราะดูเวลาก็ทุ่มกว่าแล้ว
แต่อยากไปขึ้นตึกเอ็มไพร์สเตทก่อน เคยขึ้นครั้งหนึ่งเมื่อยี่สิบปีสองก่อน(แว๊ก
นานจังเลย) ตอนนั้นรอคิวแทบจะเป็นลม วันนี้ลองเข้าไปก็คิวยาวนะคะ แต่คิดว่าดีกว่ามาตอนกลางวันแน่ๆ
นึกถึงหนังเรื่องคิงคองและก็ Sleepless in Seattle ค่ะ
ตอนเข้าคิวซื้อตั๋วก็ใช้เวลาประมาณหนึ่ง
ไม่ได้นับว่านานแค่ไหน ตอนที่ได้ตั๋วคือ 19.48 น. ขึ้นลิฟต์มาแปดสิบชั้นแล้วเปลี่ยนลิฟต์ มาเข้าคิวขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้น 86
ต่ออีกทีถึงจะเป็นจุดชมวิว มาถึงจุดนี้ตอน 20.25 น. (เวลาจะขึ้นตึกพวกนี้ต้องเผื่อใจเวลารอคิวประมาณนึงเลยนะคะ.
ขนาดคิวตอนกลางคืนน้อยกว่ากลางวันมากแล้ว). แต่ข้างบนวิวสวยมากๆ อารมณ์ตึกใบหยก 2
บ้านเรานะคะ โชคดีที่อากาศดี มองเห็นเมืองชัดมาก
อากาศก็เย็นมากๆเพราะลมแรง หนาวเจี๊ยบเลย เดินดูข้างนอกรอบเดียวแล้วก็มาเดินดูในอาคารแทน
ที่นี่มีถึงชั้น 102 ให้ขึ้นไปได้อีก
แต่เคยไปแล้ววิวไม่ได้ต่างกัน และไม่อยากเข้าคิวอีก ก็เลยเดินเล่นพักนึงแล้วก็ลง
ยังไม่ทันจะเดินไปไหนก็แวะหาของกินจากซุปเปอร์มาร์เกตใกล้ๆตรงนั้นเอง
ซื้อขนมของกิน ก็หอบพอประมาณแล้วนะคะ แต่ระหว่างทางเดินกลับโรงแรมเจอ 7-11 ก็เลยแวะไปหากาแฟกับพิซซ่าเพิ่มเติม เหมือนแวะซื้อขนมจีบซาลาเปาทีเดียว
กลับถึงโรงแรม
เมื่อยมากกกกกกก นั่งกิน ดูทีวี ชีวิตยังดีอยู่ค่ะ :)
IVLP #9 St. Patrick Cathedral, The Met, Mamma Mia, Time square
วันอาทิตย์ที่
5 ตุลาคม 2557
วันนี้วันอาทิตย์
เป็นวันที่ควรจะออกไปดูอะไรดีๆในนิวยอร์ก ว่าแล้วก็ไปกันเถอะ
เดินออกจากโรงแรมประมาณเก้าโมง
วันอาทิตย์ก็ต้องไปโบสถ์ซินะ คุณปีเตอร์พาไปชมโบสถ์ St. Patrick
Cathedral เป็นโบสถ์สไตล์นีโอกอธิค สวยงาม ใหญ่โต อารมณ์ยุโรปมาก
วันนี้มีคนเข้าโบสถ์เยอะ และสวดเป็นภาษาโปลิช
ไม่แน่ใจว่าวันนี้เป็นวันสำคัญอะไรของโปแลนด์
แต่มีตำรวจมารอเตรียมการปิดถนนกันเต็มไปหมด ข่าวว่าจะมีขบวนพาเหรดบนถนนสายห้า
พระในโบสถ์ก็เลยสวดด้วยภาษาโปลิช
ออกจากโบสถ์นั่งแท็กซี่ไปที่
The
Met ,Metropolitan museum of art เป็นมิวเซียมในฝันของหลายๆคน
เสียใจที่มีเวลาเข้าได้แค่วันเดียว เพราะไม่มีทางจะดูครบได้เลย ทำได้แค่เจาะดูเฉพาะงานภาพเขียนของยุโรป
ได้เจอทุกคนที่คิดถึงเลยค่ะ ภาพดังๆอยู่กันครบ แวนโก๊ะก็มี มากับเพื่อนซี้โกแกง
เรอนัวร์ก็อยู่นี่ใกล้ๆกับโมเนต์ ภาพ The card players ที่ไปดูมาจาก
Barnes Foundation ที่ฟิลาเดลเฟียมารูปหนึ่งแล้ว
ก็มาเจอที่นี่อีก (จากห้ารูปเห็นมาสามรูปแล้ว รอไปทำหน้าชื่นชมรูปต่อไป)
ปิซาโรก็มีสวยๆห้องนึง ภาพที่แต้มจุดๆของเซราที่อ่านมานานก็มาเจอที่นี่
ภาพของวัตโตก็มี และมีภาพของศิลปินดัชต์อีกเพียบทั้ง แรมบรันด์ ฟราน ฮัล กรี๊ด...
เป็นลมดีกว่า ! ความที่ที่นี่ใหญ่มาก แค่จะพยายามเดินออกก็หลงทางต้องถาม security
มาตลอดทาง เรากินอาหารเที่ยงที่มุมอาหารที่ the American
wing แล้วก็รีบออกไปตอนบ่ายโมงครึ่งเพื่อจะไปดู musical play
ที่ Broadway ให้ทันตอนบ่ายสองโมง
บ่ายนี้รถติดมากมาย
เพราะมีพาเหรดที่ถนนสายห้า เขาปิดทางกันหลายจุด
จนเราต้องลงก่อนถึงโรงละครห้าบล็อกแล้ววิ่งแทนไม่อย่างนั้นไปไม่ทันดูละคร
โรงละครที่ไปดูชื่อ Broadhurst
เล่นเรื่อง "Mamma Mia" เล่นมาหลายปีแล้วด้วยค่ะ
เรื่องนี้สนุกสนานมาก ใครคุ้นกับเพลงของ Abba ก็จะชอบเรื่องนี้มากๆ
:) ละครเลิกประมาณสี่โมงกว่าๆ มี intermission 15 นาทีด้วย
โดยย่อๆ เป็นเรื่องของหญิงสาวที่กำลังจะแต่งงานคนหนึ่งเธอได้เชิญผู้ชายสามคนที่เธอคิดว่าน่าจะเป็นพ่อของเธอมาในงานแต่งงาน
โดยได้ชื่อมาจากสมุดบันทึกของแม่ว่าเคยมีความสัมพันธ์กับผู้ชายสามคนนี้
เชิญมาแล้วก็ไม่แน่ใจว่าใครเป็นพ่อกันแน่ เรื่องราวดำเนินไปอย่างสนุกสนาน รื่นเริง
มีเรื่องที่ต้องตัดสินใจในตอนจบ แต่เรื่องก็จบแบบ Happy ending น่ารักมากค่ะ
ออกมาจากโรงละคร
ตรงนั้นคือ Time
square เลยค่ะ คนเยอะมากกกกก คิดถึงฮิโระในซีรี่ส์ "Heroes"
ขึ้นมาทันที เราเดินกลับไปถนนสายห้า ทันดูพาเหรดของชาวโปแลนด์
มีเด็กๆ สาวๆ แต่งชุดประจำชาติ เต้นรำบนถนนประกอบเพลงไปด้วย น่ารักมาก
ส่วนคนเดินถนนก็น่าสงสารมากเพราะตำรวจกั้นถนนต้องเดินอ้อมกันตลอดเวลา
ข้ามถนนได้เฉพาะเวลาตำรวจกั้นขบวนให้ข้ามเท่านั้น
กลับมาถึงโรงแรมตอนเกือบหกโมง
แต่ไม่ชินกับการอยู่ในที่พักตั้งแต่หัวค่ำ ก็เลยออกไปเดินเล่นที่ Madison park ห่างไปอีกสี่ห้าบล็อก เดินออกมาแล้วอยากเปลี่ยนใจเดินกลับเข้าโรงแรมเพราะหนาวมาก
ลมแรง แต่ไหนๆก็ออกมาแล้วก็ต้องไปต่อ เดินไปดู Museum of Mathematics ดูไว้ก่อนเผื่อได้เข้า เพราะอยู่ใกล้ๆแต่ตอนนี้ปิดแล้ว และตอนนี้ก็หนาวเกินจะไปนั่งเล่น
MV อยู่ในปาร์ค ก็เลยเดินกลับ แวะร้านขายอาหารร้านนึงระหว่างทาง
เขาขายอาหารร้อนๆที่ตักใส่กล่องแล้วเอามาชั่งคิดราคา มื้อนี้เลยได้กินข้าว ซื้อกาแฟเฮเซลมาอีกแล้วเอามาถือให้มืออุ่นๆ
เดินกลับโรงแรม ตานี้มีความสุขแล้ว นอนได้แล้ว
IVLP
#10 9/11 memorial, NY Public Library
วันจันทร์ที่
6 ตุลาคม 2557
วันนี้วันจันทร์
เรามีนัดในช่วงบ่าย ช่วงเช้าก็เลยรีบออกไปไปรษณีย์เพื่อส่งเอกสารที่ได้รับมาจากที่ต่างๆ
รวมๆกันหลายชุด ที่ผ่านมาเดินทางแค่ไม่กี่วันแต่เอกสารที่ได้อย่างหนักเลยค่ะ สามารถกำจัดออกไปได้ก็ดีใจมาก
หมดธุระจากเอกสารก็ถึงเวลาเอาผ้าไปซักเพราะมาครึ่งทริปแล้ว เสื้อผ้าที่เตรียมมาเริ่มหมดสต๊อก เราไปซักในร้านที่มีเครื่องหยอดเหรียญอยู่ไกลจากโรงแรมเลี้ยวซ้ายไปสามบล็อกแล้วเลี้ยวซ้ายอีกทีและเดินลงไปอีกประมาณห้าบล็อก
เครื่องซักผ้ามีหลายไซส์ให้เลือก เลือกเครื่องหยอดที่ต้องใช้ 14 เหรียญควอเตอร์ (ควอเตอร์คือเหรียญ 25 เซนต์)
ระหว่างรอประมาณเกือบครึ่งชั่วโมงก็ฆ่าเวลาด้วยการออกไปกินกาแฟที่ร้านขายอาหารและขนมแถวนั้น
อยู่ที่นี่มีร้าน Starbucks เยอะ
แต่ไม่ค่อยแวะหรอกนะคะถ้ามีร้านอื่นอยู่แถวนั้นด้วย
กินกาแฟเสร็จกลับมาถึงผ้าก็ซักเสร็จนอนรออยู่ในเครื่องแล้ว
เราก็ย้ายผ้าจากเครื่องซักไปที่เครื่องอบเพื่ออบผ้าให้แห้ง คราวนี้หยอดเหรียญ 1
ควอเตอร์ เครื่องจะทำงานหกนาที หยอดแค่สองเหรียญก็พอค่ะ เสื้อผ้าไม่หนา อบผ้าเสร็จ
หมดธุระกับข้าวของเสื้อผ้าก็ถึงเวลาไปดูสถานที่สำคัญของนิวยอร์ค เช้านี้เราไป 9/11
memorial ที่ตึกเวิร์ลเทรดเซนเตอร์เดิมกันค่ะ
เราไปลง
subway
สาย 6 ที่สถานี 28th street ซึ่งอยู่บนถนน Park Ave. เวลาจะหารถไฟใต้ดินที่นี่ให้พยายามหาเสาที่มีลูกกลมๆสีเขียว
ตรงนั้นจะบอกจุดของสถานี ไม่งั้นหาไม่ค่อยเจอ
เวลาจะลงไปก็ต้องดูว่าเราจะไปทิศไหนเขาใช้ทางลงแยกกันเลย เช่น เราจะไป 9/11
memorial อยู่ทิศใต้ของเกาะแมนฮัตตัน เป็นการเดินทางลงไปย่าน WTC
/ wall st. อย่างนี้เราต้องหาทางลงที่เขียนว่า downtown คือลงไปด้านล่างของเมือง (ในทำนองเดียวกัน
จากสถานีนี้ถ้าจะไปเซ็นทรัลปาร์คซึ่งอยู่ทิศเหนือเป็นด้านบนของสถานีนี้
เราต้องเลือกทางลงที่เขียนว่า uptown) สำหรับคนที่ใช้ subway
ไม่มากอย่างเรา ก็จะซื้อตั๋วจากเครื่อง การใช้เครื่องซื้อตั๋วที่นี่เขาให้เลือกภาษาก่อน
แล้วเลือกประเภท เราเลือกแบบ single ride ราคา 2.75 เหรียญ เลือกจ่ายกับเงินสด บัตรเดบิต หรือบัตรเครดิตก็ได้ เช่น เลือกจ่ายกับบัตรเดบิต
(ATM) ก็จะเสียบบัตรเข้าไปให้อ่านแล้วดึงออก
เครื่องจะถามให้ใส่ PIN number แล้วจะออกตั๋วแผ่นกระดาษที่มีแถบแม่เหล็กออกมาให้
จากนั้นจะถามว่าจะเอาใบเสร็จไหม ถ้าเราเลือกว่าเอาใบเสร็จด้วยเครื่องก็จะพิมพ์ออกมาให้ค่ะ
สถานีรถไฟใต้ดินที่นี่เล็กๆ
โทรมเล็กน้อยถึงปานกลาง ที่เคยค่อนขอดเมืองดีซีไว้ ขอเอาคืนแล้วกัน
เทียบไม่ติดกับที่นี่ค่ะ เวลาจะเข้าไปต้องเอาตั๋วรูดที่เครื่องกั้นทางเข้าชานชาลา
รูดเสร็จต้องผลักที่กั้นออกไปไม่ได้เปิดอัตโนมัตแบบที่อื่น บัตรนั้นใช้ครั้งเดียว
เวลาจะออกจากชานชาลาไม่ต้องใช้บัตรแล้ว สามารถเดินสวนตัวกั้นตัวเดียวกับทางเข้า
ผลักออกไปได้เลย
เรานั่ง subway ไปขึ้นที่สถานีสะพานบรูคลิน ขึ้นมาแล้วจะไปทางไหนดี
ถ้าไม่ใช้แอพแผนที่ก็ให้เดินตามชาวบ้านไปเรื่อยๆ ใครๆก็เดินไปที่ 9/11
memorial กัน เดินไปไกลพอประมาณนะคะ ก็จะถึง memorial ผิดคาดมากที่คิดว่าเขาจะทำเป็นอนุสาวรีย์หรือป้ายอะไร ที่นี่เขาทำเป็นแอ่งน้ำใหญ่ที่ฐานตึกที่ถูกถล่มทั้งสองตึกนั้น
มีรายชื่อผู้เสียชีวิตแกะสลักบนขอบแอ่งด้วย เป็นที่ที่คนอเมริกันทุกคนควรมาทีเดียวค่ะ
เห็นแล้วก็เศร้าใจนะคะ ความที่มีเวลาน้อย เดินดูรอบๆแล้วเราก็รีบออกจากที่นั่นกลับมาที่
Museum of Mathematics คิดว่าจะเป็นแบบพิพิธภัณฑ์จริงๆ
แต่เมื่อเดินเข้าไปมีแต่เด็กๆและก็โมเดลคณิตศาสตร์สีสันสดใส เลยไม่ค่อยมั่นใจ และไม่มีเวลาเหลือแล้ว
ก็เลยเดินออกมา แวะซื้ออาหารร้อนๆร้านเดิมที่อยู่ใกล้ๆกันเอาไปกินที่โรงแรม
ตอนสองโมงครึ่งก็ออกเดินไปที่
NY
public library ที่นี่เป็นห้องสมุดในฝันมาก
เคยได้เดินผ่านครั้งหนึ่งเมื่อยี่สิบปีก่อน...นานไปนะ....
ครั้งนี้มีโอกาสได้เข้าไปรู้สึกดีใจมากๆ เราไปพบกับเจ้าหน้าที่ของห้องสมุด ได้คุยกับเจ้าหน้าที่ที่นั่นสี่คน
รับฟังว่าการบริหารที่นั่นเป็นอย่างไรแนวโน้มไปทางไหน พบว่าก็คล้ายๆห้องสมุดทั่วไป
แต่สเกลใหญ่กว่ามากๆ
ห้องสมุดในนิวยอร์คมีสาขา
88 แห่ง แต่ละที่มีการบริหารของตัวเองแต่ก็เชื่อมโยงกัน กำลังทำ Digital
library และเน้นในเรื่อง Collaboration เพราะที่นี่เป็นทั้ง
research center และห้องสมุดปกติ ความที่ที่นี่เป็นห้องสมุดใหญ่มีคนมาเยี่ยมชมมาก
จะมีอาสาสมัครมาช่วยดูแลจัดกิจกรรม และนำชมห้องสมุด เป็นกิจกรรมอาสาสมัครที่ดีมาก ตึกห้องสมุดที่นี่สวยมาก
อารมณ์เหมือนวังหินอ่อนค่ะ เขาพาเดินชมห้องสมุด ดูห้อง collection ต่างๆ น่าเสียดายมากที่ห้อง rose main reading room ปิดซ่อม
เพราะของประดับบนเพดานเริ่มร่วงลงมา จำเป็นต้องซ่อมเพื่อป้องกันเหตุที่อาจเกิดขึ้น
อดเข้าไปดูเลย เสียใจมากๆ
ออกจากห้องสมุดตอนห้าโมงเศษๆ
เดินออกด้านข้างฝั่งที่มีสวนสาธารณะเล็กๆชื่อ Bryant park สวนนี้เป็นที่นั่งพักที่ดี บรรยากาศสบาย
เดินผ่านยังรู้สึกดีเลยค่ะ จากนั้นก็เดินไปไทม์สแควร์อีก จริงๆก็ไม่ไกลเท่าไร และกะจะเดินต่อไปที่เซ็นทรัลปาร์ค
แต่รู้สึกว่าค่ำเกินไป ก็เลยเดินลงมาตามถนนสาย 53 ไปลง subway
สายหก สถานี 51th ไปขึ้นที่สถานี 28th ใกล้โรงแรม ถึงเวลาพักก็ต้องพักนะคะ
อย่าหักโหม :)
IVLP
#11 Baruch Univ, United Nation library, Rockefeller center
วันอังคารที่
7 ตุลาคม 2557
วันนี้ตื่นเช้า
หาของกิน ส่งโปสการ์ดแล้วพยายามจะนั่งรถไฟใต้ดินไปเซ็นทรัลปาร์คยามเช้า
อารมณ์ไปสวนรถไฟอะค่ะ แต่พบว่าใช้เวลาเดินทางนานพอควร ไม่มีเวลาไปเดินจริงๆ
ก็เลยเป็นการนั่งรถเล่นแทน กลับมาถึงโรงแรมแล้วมาเตรียมตัวไปดูงาน
เช้านี้ไปที่มหาวิทยาลัยบารุก ผู้บริหารห้องสมุดกรุณานำชมห้องสมุด
น่าสนใจมากทั้งในเรื่องการบริหารงานและการสร้างบริการให้ผู้ใช้
ที่นี่มีแผนจะปรับปรุงห้องสมุดภายในปีหน้านี้
ปรับปรุงให้ทันสมัยทั้งการตบแต่งสถานที่และจุดให้บริการ ก็จะมี master plan มีแผนการระดมทุน ฯลฯ
เวลาที่เขาจะเปลี่ยนอะไรก็จะมีการสอบถามความเห็นผู้ใช้
ได้เห็นการถามความคิดเห็นเรื่องโต๊ะแบบใหม่ที่เขาจะเลือก เขาจะวางแบบสอบถามให้นักศึกษาแสดงความเห็นว่าเป็นยังไง
ดีนะคะที่ให้ผู้ใช้มีส่วนร่วมตลอด ที่นี่มีเครื่องให้ยืมโน๊ตบุ๊กเหมือนที่ Drexel univ ด้วย และมีการให้ยืม Text book เพราะตำราที่นี่ค่อนข้างแพง
มีการให้ยืมเครื่องคิดเลขชนิด scientific calculator รวมถึงให้ยืมอุปกรณ์อื่นๆด้วย
เช่น iPad ,clicker มีห้องสำหรับให้ฝึกการนำเสนอซึ่งนักศึกษาสามารถใช้ทำงานรวมถึงสัมภาษณ์งานได้
ที่นี่ใช้ประโยชน์จาก sms โดยที่บริการต่างๆที่นักศึกษาจองไว้
เมื่อถึงคิวตัวเองจะได้รับ SMS แจ้งไป
(มีอุปกรณ์ที่จะสั่นเวลาถึงคิวของเราด้วย เขาบอกว่าใช้ทั่วไปในร้านอาหารที่นี่
แต่ยังไม่เคยเห็นค่ะ)
ที่น่าสนใจอีกอย่างของที่นี่คือ
digital
library ที่มี workflow ค่อนข้างชัดว่าถ้ามหาวิทยาลัยมี
event อะไร ทางหน่วยงานประชาสัมพันธ์จะแจ้งว่าจะทำการอัดรายการอะไร
หรือแม้แต่การประชุมมีคนมาพูด เมื่อทำการจองห้อง ทางห้องสมุดก็จะรู้ จะเริ่มทำ metadata
และมีทีมไปบันทึกสื่อ มีทั้งกรณีวิดิโอและภาพนิ่ง
ในการบันทึกเขาจะมีฟอร์มขออนุญาตนำไปเผยแพร่ให้เซ็นด้วย
เมื่ออัดวิดิโอมาแล้วจะทำการตัดต่อ ภายใน 48-72 ชั่วโมง ข้อมูลที่เป็น
metadata จะถูกนำขึ้นใน Digital library วิดิโอจะถูกอัพขึ้นออนไลน์ ที่นี่ใช้ iTune Channel (YouTube
channel ก็มี แต่อันนั้นทางคณะต่างๆจะทำเอง ซึ่งขึ้นกับ marketing
ด้วย)
วิดิโอพวกนี้อาจถูกตัดเป็นเนื้อหาย่อยเพื่อให้อาจารย์นำไปใช้ในคลาสโดยใส่ใน Blackboard(ทำนองเดียวกับ Moodle ที่เราใช้) เป็นการบริหารงานที่มีการประสานงานเป็นระบบดีนะคะ
ที่นี่มีสิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างคือการให้พื้นที่ในห้องสมุดกับคณะต่างๆเพื่อเป็นพื้นที่ทำงานเช่น
ที่นี่มีห้องค้าหุ้นที่สามารถ Trade หุ้นได้จริงๆ ถามเขาว่าทำไมทำที่นี่
ทำไมไม่ทำที่คณะการจัดการ
เขาบอกว่าพอดีเขามีบรรณารักษ์ผู้ดูแลเป็นบรรณารักษ์ specialize ด้านการเงิน เขาสามารถดูแลได้เอง แต่ก็ใช้สำหรับการเรียนการสอนด้วย
(บรรณารักษ์ที่นี่ขั้นต่ำจบปริญญาโท ต้องมีทั้งดีกรีด้าน library และมีอีกหนึ่ง subject master เช่น law,
geography etc.)
จริงๆมีรายละเอียดอีกมากที่น่าสนใจ
แต่พอเถอะ เอาพอเป็นสังเขปกันลืม ของจริงมีข้อมูลอีกมากเลยที่เขาให้มาค่ะ
พูดง่ายๆว่าที่นั่น รวมงานศูนย์บรรณสารฯและศูนย์คอมพิวเตอร์เข้าด้วยกัน และนี่เรากำลังพูดถึงหน่วยงานที่มีทีม
IT
50 คน ทีมห้องสมุด 50 คน และ part time
อีกมาก เพราะการถ่ายวิดิโอเป็นของ part time. ซึ่งมีทั้งระดับนักศึกษาและระดับโปร
ออกจากที่นี่เรานั่งแท๊กซี่ไปพบกับทีมบรรณาธิการวารสาร
Library
Journal ได้คุยกับทีมงานที่น่ารัก 4 คน
เล่าเรื่อง trend และเทคโนโลยี
เขาเล่าถึงโครงการต่างๆที่ห้องสมุดในอเมริกาทำ การวิ่งเข้าสู่ Digital
Content เป็นที่น่าแปลกใจที่พบว่าในอเมริกาก็มี digital
divide ไม่ได้ต่างจากประเทศอื่น มีคนมากมายที่ไม่มี internet
access และห้องสมุดประชาชนของอเมริกาเป็นทีให้บริการเหล่านี้
สนุกกับการคุยมากค่ะ
แต่เวลามีจำกัด เรารีบออกมากินอาหารกลางวัน วันนี้ลองสลัดจากร้านอาหารกรีก
บริเวณนี้อยู่ใกล้ 9/11memorial
ที่เรามาเมื่อวานนั่นเอง กินข้าวเสร็จก็เรียกแท็กซี่ไปที่ UN
สหประชาชาติค่ะ
เรามีนัดที่สหประชาชาติ
(United
Nations) ตั้งแต่บ่ายโมงถึงห้าโมงเย็น โปรแกรมแน่นเอี๊ยด
ได้พบกับคนจาก archive และ เจ้าหน้าที่ห้องสมุด Dag
Hammarskjöld (ชื่อของห้องสมุดค่ะ
ไม่มีความสามารถที่จะออกเสียงได้) ห้าคน ไล่เรียงกันไปตั้งแต่ Indexing,
digital library, digitalization, ได้พบผู้บริหารของที่นี่ได้คุยเรื่องยุทธศาสตร์การบริหารงาน
จนสุดท้ายได้ทัวร์ห้องสมุด น่าสนใจมาก รายละเอียดมีมหาศาลค่ะ ต้องไปอ่านซ้ำ
โดยรวมคือได้เรียนรู้ขั้นตอนการทำงาน และได้ชมห้องเก็บเอกสารตั้งแต่ยังไม่เป็นสหประชาชาติ
ยังคงเป็น League of Nations น่าประทับใจมาก
คนที่ทำงานที่นี่ก็หลากหลายเชื้อชาติมาก คนที่คุยด้วยมีทั้ง อังกฤษ เยอรมัน
บอสเนีย เกาหลี อาร์เจนตินา สหประชาชาติจริงๆค่ะ
ออกจาก
UN
ก็เดินเล่นสั่งลา เพราะต้องออกจากนิวยอร์คพรุ่งนี้เช้า
ยังคงมุ่งมั่นที่จะนั่งรถไฟใต้ดินไปเที่ยวเล่นเซ็นทรัลปาร์ค ก็เดินจาก UN ไปหาสถานีที่ใกล้ที่สุดแล้วก็ขึ้นไป
เกือบทุ่มยังอยู่บน subway อยู่เลยค่ะ หลังจากหลงทางนั่งเลยสถานีที่จะลงเพราะไปขึ้นรถด่วนที่ไม่ใช่สาย
local ซึ่งจะไม่จอดสถานีย่อย ก็เลยต้องนั่งรถย้อนมาอีกที
อืมม์ บ้านไม่ได้อยู่นิวยอร์คอะค่ะ จะรู้มั้ยว่าต้องขึ้นสาย local แต่ก็ได้ไปสมใจนะคะ ถึงจะไปถึงตอนค่ำ
ก็เดินทำตัวเหมือนคนแถวนั้นไปออกกำลังกายตอนค่ำ ไปเยี่ยม strawberry field จุดที่ระลึกถึงจอห์น เลนนอน แต่ไม่ไหวแล้ว มืดมาก
อารมณ์เดินอยู่ในสวนลุมตอนสองทุ่มอะค่ะ ขากลับนั่งรถไฟไปลงที่ตึก Rockefeller.
เดินดูแสงสีตลอดแนวถนนสายห้าจนกลับโรงแรม ไกลเหมือนกัน
แต่อากาศไม่ร้อนก็เดินได้สบายๆ
กลับมาก็จัดของเตรียมไป
Austin
พรุ่งนี้ค่ะ J
IVLP #12 La Guardia airport - Austin
วันพุธที่
8 ตุลาคม 2557
วันนี้ตื่นเช้าประหนึ่งอยู่ที่ท่าศาลาเพราะต้องเตรียมเดินทางไปที่เมือง
Austin
รัฐ Texas ต้องออกไปส่งโปสการ์ดจะได้ประทับตราเมืองนิวยอร์ค มาทริปนี้ส่งโปสการ์ดกลับบ้านทุกวัน
ต้องซื้อแสตมป์เก็บไว้ตั้งแต่ตอนไปไปรษณีย์ครั้งแรก
เวลาไปพักที่ไหนก็ต้องมองหาตู้ไปรษณีย์ไว้
หน้าตาตู้ไปรษณีย์ที่นี่ก็เป็นตู้ๆสีน้ำเงินดูทีแรกคิดว่าถังขยะ เช้านี้ไปซื้ออาหารเช้าใส่กล่องมากินที่ห้อง
จัดการทุกอย่างเสร็จ ลงมาเช็คเอาท์ 7:45 น. แล้วนั่งแท็กซี่ไปสนามบิน
La Guardia เครื่องออกจากสนามบิน เกท C34 เวลา 10:15 น. ต้องแวะเปลี่ยนเครื่องที่ เมืองดัลลัส
(Dallas) เครื่องถึงดัลลัส เวลา 1:42 pm และออกเวลา 3:05 pm ไปที่ Austin ไปถึงเวลา 4:00 pm เวลาที่ออสตินจะช้ากว่านิวยอร์คหนึ่งชั่วโมงค่ะ
บนเครื่องไปดัลลัสใช้สายการบิน
Delta
มี wifi on board ด้วยนะคะ แต่ต้องจ่ายค่า wifi
ก็เลยนั่งอ่านหนังสือดีกว่านะ ไปถึงสนามบินดัลลัส
มีความรู้สึกว่าเป็นสนามบินที่ใหญ่มาก ตั้งแต่เครื่องลง กว่าจะค่อยๆวิ่งมาถึงที่จอด
นานมาก. เราลงจากเครื่องที่เทอร์มินัล E แล้วต้องนั่ง Sky
link ซึ่งเป็นเป็นรถไฟฟ้าวนเป็นวงไปทุกเทอร์มินอล ตัองไปขึ้นเครื่องที่เทอร์มินอล
C ไปรอที่เกท C21 ต้องรออีกพักนึง
แต่สนามบินที่นี่ใหญ่ มีของกินมากมาย มีจุดชาร์จไฟ มีจุด free internet มีร้านทำผม นั่งรอกันไป ได้ข่าวว่าคนไข้อีโบลาที่รักษาตัวอยู่ที่ดัลลัสเพิ่งเสียชีวิตวันนี้
มิน่าละ เครื่องบินไม่ค่อยแน่น ^_^
ออกจากเมืองดัลลัสไปเมืองออสตินด้วยสายการบิน
American
Airline ใช้เวลาบินแค่ 35 นาที
มาถึงสนามบินออสตินก็มีเสียงเพลงลอยมาเลยค่ะ มีเวทีเล่นดนตรีสดในร้านอาหารที่สนามบิน
ที่รับกระเป๋าก็มีการตกแต่งสถานที่ด้วยกีต้าร์ตัวใหญ่ๆ
เพราะช่วงสุดสัปดาห์ที่แล้วและสัปดาห์ที่จะถึงนี้มีงาน Austin City Limits
Music Festival เป็นงานใหญ่จัดมาตั้งแต่ปี 2002 จะมึเวทีใหญ่ 8 เวทีสำหรับดนตรีประเภทต่างๆ ช่วงนี้คนมาที่ออสตินกันเยอะมาก
โรงแรมก็จองกันเต็ม เราก็เลยต้องระเห็ดออกไปนอกเมืองเล็กน้อย อยู่เมืองนี้ต้องไปดูงานแต่ละที่ห่างๆกัน
ก็เลยต้องเช่ารถด้วยค่ะ
รับกระเป๋าจากสายพานเสร็จก็นั่งรถบัสไปที่เคาน์เตอร์เช่ารถของ
Hertz
ศูนย์เช่ารถเขาแยกมาต่างหากเลยค่ะ จัดเป็นระบบดีมาก เดี๋ยวนี้การเช่ารถสะดวกสบายเพราะมีวิดิโอโฟนให้คุยกับเจ้าหน้าที่
แล้วได้บัตรมาใบนึงระบุว่ารถอะไร จอดที่ไหน เราก็ไปที่ลานจอดรถนั้น
กุญแจรถก็จะอยู่ที่คอนโซลอยู่แล้ว มีระบบนำทาง GPS ติดตั้งมาเสร็จสรรพ
ก็เซ็ตให้จุดหมายคือโรงแรมที่เราจะไปแล้วก็ขับออกมา รถติดพอประมาณบนฟรีเวย์ ที่นี่มีรถกระบะหน้าตาแบบวีโก้คันใหญ่ๆขับกันเป็นปกติเหมือนบ้านเรา
เมืองใหญ่ๆเมืองอื่นไม่ค่อยมีนะ โรงแรมที่เราพักชื่อ Courtyard Marriott แถว Stonelake blvd ตอนเช็คอิน รู้สึกว่าน้องคนที่เช็คอินดูเด็กๆและสำเนียงไม่อเมริกัน
ลองคุยดูปรากฏว่าเป็นนักศึกษา Internship มาจากแมนเชสเตอร์ที่อังกฤษ เราถามว่าจะไปกินข้าวที่ไหนดี
น้องก็จะไม่รู้เพราะไม่ใช่คนแถวนี้ แต่จะพยายามช่วยเป็นอย่างมาก
พยายามเสิร์ชในเน็ตแล้วพิมพ์เส้นทางออกมาให้ น่าเอ็นดู นึกถึงนักศึกษาของเรามาก
ถ้าออกไป internship ต่างประเทศกันเยอะๆก็น่าจะดีค่ะ
เย็นนี้หมดมุก
ไม่รู้จะไปไหนจริงๆ โชคดีที่ฝั่งตรงข้ามโรงแรมเป็น
mall
ใหญ่พอควร มีร้านอาหาร มีซุปเปอร์มาร์เกต Whole foods มีห้าง Nordstrom ไม่ไปไหนแล้ว อยู่แถวนี้แหละ
ไปซื้อผลไม้มากินดีกว่า ซื้อมาเพียบเลยค่ะ จะสุขภาพดีไปไหน เดินก็เยอะ ยังจะกินแต่อาหารสุขภาพอีก
:)
IVLP #13 Texas State Library & archive Commission
Perry-Castenedo
Library
วันพฤหัสบดี
9 ตุลาคม 2557
วันนี้ออกจากโรงแรมเวลา
8:45 น. ระยะทางไม่ไกลเท่าไรประมาณสิบกว่าไมล์ แต่ก็มีรถติดบนฟรีเวย์พอควร
อากาศเหมือนบ้านเรา ร้อน ดีว่าไม่ชื้นและมีลมเย็นๆ สามารถใส่เสื้อผ้าปกติแบบที่ใส่บ้านเราได้เลยค่ะ
จุดแรกที่ไปคือ Texas State Library & Archive Commission อยู่ใกล้ State capital ที่นี่ต้อนรับดีมาก
เหมือนที่ศูนย์บรรณสารเลยค่ะคือมีชื่อขึ้นจอทีวีเป็นการต้อนรับ มี Chief เป็นผู้มาตัอนรับ มีจนท. Communication officer มานำชมห้องโถงและถ่ายรูป
เดินเข้าไปในห้องประชุม
สตั๊นท์ไปสามวิ เพราะมีผู้เข้าร่วมประชุมรออยู่ 6 คน
เป็นหัวหน้าฝ่ายต่างๆ เขาให้เกียรติเรามากเพราะเป็นถือว่าเป็นผู้ที่ถูกส่งมาจากกระทรวงการต่างประเทศ
จากการประชุมที่นี่ ได้รับทราบข้อมูลมากมายจากโครงการต่างๆ เช่น TexShare ซึ่งเป็นความร่วมมือของหัองสมุดในเท็กซัสที่จะแชร์ทรัพยากรร่วมกัน
มีผู้ดูแลด้าน record management มาคุยให้ฟังเกี่ยวกับการดูแล
record การจัดการเรื่อง retention period ซึ่งทำงานร่วมกับในส่วนของ archive ที่จะเลือกว่าอะไรจะถูกเก็บใน
archive ได้คุยเกี่ยวกับการเข้าสู่ cloud ว่าที่นี่กำลังดำเนินการ แต่ขณะนี้ยังไม่สามารถให้รายละเอียดได้ ถ้าเสร็จสิ้นกระบวนการจัดซื้อแล้ว
เขาสามารถให้ข้อมูลเพิ่มเติมได้
จากนั้นทาง
archive
ก็นำชมห้องซ่อมแซมเอกสาร conversation laboratory ซึ่งคนที่จะมาทำในส่วนนี้ต้องจบมาด้านนี้โดยตรง จากนั้นนำชม stack และที่เก็บรายการสำคัญๆ เช่น ธงของรัฐเท็กซัสเวอร์ชั่นต่างๆ ห้องที่ให้บริการผู้ใช้เข้ามาค้นเอกสาร เช่น genealogy
การบริหารจัดการของที่นี่น่าสนใจมาก เราอยู่ที่นี่จนเที่ยง
แล้วออกไปกินข้าวเที่ยงที่ร้านอาหารเม็กซิกันไม่ไกลจากที่นั่น คนที่ Archive
ก็ไปกินด้วยกัน นั่งคุยกันสนุกสนานดี อาหารก็อร่อย กินเสร็จไปที่ Perry-Castenedo
Library (Univ of Texas Library)
University
of Texas, Austin เป็นมหาวิทยาลัยที่ได้ยินชื่อบ่อยๆ
มีรุ่นพี่รุ่นน้องหลายคนจบจากที่นี่ ขับรถเข้าไปในเขตมหาวิทยาลัยก็ยังรู้สึกเหมือนเป็นเมืองไม่เหมือนมหาวิทยาลัย
จนต้องจอดรถแล้วเดินเข้าเขตตึกเรียน เรามีนัดที่ห้องสมุดของมหาวิทยาลัย
ห้องสมุดที่นี่ค่อนข้างใหญ่
จริงๆไม่ค่อนข้างละค่ะ ใหญ่เอาเลย ถามเขาว่ามีสต๊าฟกี่คน เขาบอกว่า
สองสามร้อยคนรวมทุกห้องสมุด ที่นี่บริการนักศึกษาได้ 3,000 ที่นั่ง เปิด 24 ชั่วโมง
มีการปรับปรุงห้องสมุดให้เป็น one point service เพิ่มพื้นที่ให้บริการ
สร้างห้องทำงานกลุ่มมากขึ้น หรือแม้แต่ที่นั่งก็มีแบบที่นั่งเป็นกลุ่มมีสองหน้าจอขึ้นพร้อมกันเพื่อการประชุมกลุ่มย่อย
กรณีที่คอมพิวเตอร์ไม่ว่างก็มีบริเวณนั่งคอยจนกว่าจะถึงคิวที่มีคอมพิวเตอร์ว่าง
ที่นี่มีบริการ สแกน และ print เป็นปกติเหมือนที่อื่น
พูดง่ายๆว่ามีบริการใดๆที่ห้องสมุดปกติมีกัน แต่ดูดีและสเกลใหญ่มาก
เพราะต้องบริการนักศึกษาหลายหมื่นคน จะมีทีมที่ดูแลเทคโนโลยีที่ใช้บริการในห้องสมุด
และก็มีทีมไอทีอีกต่างหาก
เราไปคุยกับผู้ดูแลเรื่องการ
digitize
collection ต่างๆที่มีในห้องสมุด มีเครื่องสแกนแผนที่ขนาดใหญ่
มีเครื่องสแกน เป็นทีมใหญ่พอควร มีห้องทำงานเฉพาะ มีทั้งสต๊าฟและ part time
ทำงานด้วยกัน มีห้องซ่อมหนังสือที่เป็นแผนกเดียวกัน
จากนั้นเข้าห้องประชุมไปคุยกับทีมไอทีอีกสี่คน
ที่นี่มีคนไอทีของตัวเองไม่เกี่ยวกับศูนย์ไอทีของมหาวิทยาลัย
เฉพาะทีมไอทีที่นี่ก็มีประมาณ 20-30 คน ดูแลทุกอย่างในห้องสมุด
ตั้งแต่ server database ดูแลเว็บไซต์ ที่นี่ใช้ Drupal
CMS มี blackboard และกำลังสนใจที่จะวิ่งเข้าสู่
cloud โดยกำลังอยู่ระหว่างการดำเนินการ
ประมาณกลางปีหน้าน่าจะได้ใช้ ก็บอกเขาว่าเราขอรอดูเขา implement ก่อน ถ้าไม่มีปัญหาอะไรเราจะได้ใช้มั่ง 555
จบจากการพบทุกกลุ่มก็เดินไปดูร้านสหกรณ์ของที่นี่
มหาวิทยาลัยที่ไหนก็มีสหกรณ์นะคะ สัญลักษณ์ของที่นี่คือน้องวัว Long Horn เห็นแล้วคิดถึงน้องวัวที่วลัยลักษณ์เป็นกำลัง :)
ออกจากมหาวิทยาลัยก็กลับโรงแรม
แวะ Whole
Foods ที่พึ่งยามยาก เดินหาของกิน ชีวิตนี้อารมณ์ไม่ได้ต่างจากเดินที่โลตัสท่าศาลาเลยค่ะ
J
IVLP #14. Texas Department of Information Resource, St.Edward s University Library(Munday Library), LJB Library and museum
วันศุกร์ที่
10 ตุลาคม 2557
วันศุกร์อีกครั้ง
โปรแกรมยังน่าสนใจเหมือนเดิม ตอนเช้าไปที่ Texas Department of Information
Resource ซึ่งเป็นออฟฟิซของรัฐ แล้วต่อไปที่ St. Edward s
University Library (Munday Library) ซึ่งเป็นห้องสมุดของมหาวิทยาลัย
แล้วตอนบ่ายไปที่ LJB Library and museum
ที่
Texas
Department of Information Resource เป็นหน่วยงานให้บริการข้อมูลภาครัฐ
เขาจัดทำเว็บของรัฐที่มีบริการต่างๆ เช่น การต่ออายุใบขับขี่ ข้อมูลเกี่ยวกับการทำงานของคนในรัฐ
ข้อมูลแผนที่ในเรื่องต่างๆ เช่น แผนที่เส้นทางที่ฝนตกแล้วน้ำท่วม
ถามเขาว่าใครเป็นคนใส่ข้อมูล เพราะถ้าเป็นบ้านเรา
ถ้าต้องการข้อมูลปริมาณน้ำฝนเพื่อเตรียมการรับมือภัยพิบัติต้องให้คนใส่ข้อมูลเข้าระบบ
ถ้าไม่ใส่ข้อมูลก็จะไม่อัพเดตพอที่จะใช้งานได้ เขาทำหน้างงๆแล้วบอกว่าที่นี่เขาใช้เซนเซอร์ส่งสัญญาณข้อมูลเข้ามา
ข้อมูลเขาลงได้ถึงขนาดว่าบริเวณใดที่มีหมาดุ คนที่ไปแถวนั้นจะได้ระวังตัว
เอากับเขาซี่... ดูการให้บริการเขาได้จากเว็บนี้ค่ะ. http://www.texas.gov/en/Pages/default.aspx ถามเขาว่ารัฐอื่นเป็นยังไง ต้องจัดทำข้อมูลเหมือนกันแบบนี้หรือเปล่าเขาบอกว่าแต่ละรัฐต่างกันแต่ก็ต้องให้ข้อมูลประชาชนแบบนี้
ของฮาวายเขาก็บอกว่าทำได้ดีค่ะ เดี๋ยวต้องเข้าไปดูบ้างแล้ว
ที่นี่มีเรื่องน่าสนใจคือการจัดการอบรมให้กับ
IT
Security officer เขามีคอร์สอบรมเจ็ดวัน มีเนื้อหาพื้นฐานแล้วแยกย่อยไปในเรื่องเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล
ว่าข้อมูลใดควรจัดเก็บอย่างไร เขามีเป็นประกาศนียบัตรให้ด้วย ทำให้คนที่อบรมไปแล้วเมื่อต้องการย้ายไปทำงานในหน่วยงานอื่นของรัฐก็ยังได้ประโยชน์
ที่นี่ดูแลเรื่องความปลอดภัยขนาดมีการแข่งขันออกโจทย์ขึ้นมาแล้วส่งรายละเอียดไปตาม
Civic hacker community ต่างๆเพื่อให้เข้ามาหาจุดอ่อนของระบบของเขา
มีการจัดแข่งขันระดับ high school โดยให้มีกลุ่มมือโปรเป็นผู้โจมตีระบบ
ให้นักเรียนตั้งรับ และให้ IT Security officer เป็นผู้มาสำรวจร่องรอยว่าเกิดอะไรขึ้น
เป็นการป้องกันรอบด้านมาก
ช่วงเช้ามีโปรแกรมสองแห่ง
ออกจากที่นี่ก็ขับรถต่อไปที่ St. Edward’s University ที่ Munday
library ได้คุยกับผู้อำนวยการห้องสมุด ที่นี่มีการดำเนินการที่น่าสนใจหลายเรื่อง
เช่น การปรับเปลี่ยนพื้นที่จากห้องสมุดเดิมให้เปลี่ยนรูปเป็นแบบใหม่ จัดพื้นที่ให้โล่ง
มีพื้นที่ให้นักศึกษามากขึ้น สไตล์โมเดิร์นมากๆ มีการให้บริการต่างๆ เช่น
การจองห้องอ่านหนังสือเป็นกลุ่ม นักศึกษาสามารถสแกน QR code และจองผ่านแอพได้เลย
ที่น่าสนใจคือ
แนวคิดที่จะซื้อหนังสือที่เป็นเล่มน้อยลง(แถมทิ้งส่วนที่เก่าและไม่เคยใช้งานเลยออกไปอีกมาก)
โจทย์ของที่นี่ตอนที่ปรับปรุงห้องสมุดเมื่อสามปีก่อนคือ การเป็นห้องสมุดมหาวิทยาลัยในศตวรรษที่
21 จึงมีการปรับการดำเนินการให้เข้าสู่โลกอิเลกทรอนิกส์มากๆ เช่น
แทนที่จะซื้อหนังสือเป็นเล่ม ที่นี่จะซื้อหนังสืออิเลกทรอนิกส์
และจะไม่ซื้อมาวางไว้
แต่จะเอารายการหนังสือจากสำนักพิมพ์มาใส่ในรายการหนังสือของห้องสมุด
เมื่อไหร่มีคนต้องการอ่านจึงจะซื้อเข้ามาเป็นฉบับอิเลกทรอนิกส์ ลดค่าใช้จ่ายได้มาก
สามารถบริการได้ตามที่ผู้ใช้ต้องการจริงๆ metadata ของหนังสือก็ดึงจากสำนักพิมพ์มาโดยตรง
เป็น best practice ที่น่าสนใจนะคะ
ที่นี่มีคอมพิวเตอร์ให้นักศึกษาใช้จำนวนหนึ่ง
ไม่มากเหมือนบางมหาวิทยาลัยเพราะถือว่านักศึกษามักจะมีคอมพิวเตอร์อยู่แล้ว
และถ้าต้องใชัโปรแกรมเฉพาะก็จะมีคอมพิวเตอร์ที่คณะให้ใชั แต่ที่น่ีมีแลปมัลติมีเดียให้ด้วย
นักศึกษาสามารถใช้ได้ไม่จำกัด ปกติเปิดถึงเที่ยงคืน ช่วงก่อนสอบเปิดถึงตีสอง
อีกเรื่องที่เป็น
best
practice คือ การหาความร่วมมือกับคณะในการสร้างโปรเจคการสอน เช่น
อาจารย์ที่ต้องการให้นักศึกษาเรียนเรื่องพิพิธภัณฑ์ ทีมงานที่นี่จะช่วยในการสร้าง virtual
museum ให้เพื่อนำไปใช้ในการสอน เป็นต้น
ลองถามว่าแล้วสร้างความร่วมมือได้ยังไงเพราะบางทีอาจารย์ก็ไม่รู้หรอกว่าห้องสมุดทำอะไรได้บ้าง
นึกไม่ออกด้วยว่าจะเอาไอทีมาช่วยในส่วนไหน ผ.อ.ยิ้มเลยค่ะ แสดงว่าเจอปัญหาเดียวกันที่นี่ีใช้วิธีไปเสนอ
service ให้ตามคณะค่ะ
สร้างความเข้าใจว่าสามารถช่วยได้ในส่วนไหน ถ้าทำได้เป็นตัวอย่างแล้ว
ต่อไปทุกคนก็จะมองเห็นว่าน่าจะทำการประยุกต์อะไรได้อย่างไร น่าสนใจเนอะ
พักช่วงเที่ยง
เขาแนะนำให้ไปกินอาหารใกล้ๆมหาวิทยาลัย เป็นร้านอาหารคิวบา ชื่อ Habana ก็อร่อยดีค่ะ เป็นครั้งแรกที่ได้ลองอาหารคิวบา
ช่วงบ่ายไปที่
LJB
Library and museum. LBL เป็นชื่อย่อสำหรับเรียกประธานาธิบดี Lyndon
Baines Johnson ผู้เคยเป็นรองประธานาธิบดีในสมัยของ JFK และได้เป็นประธานาธิบดีคนถัดจากนั้น เนื่องจากเป็นคนเท็กซัส
เมื่อหมดเทอมก็กลับมาอยู่ที่เท็กซัส ก่อนเสียชีวิต มิวเซียมนี้ถูกสร้างขึ้นมา LBJ
และ Lady Bird ภรรยาของท่านได้มาดูแลอยู่ที่นี่ด้วย
ที่มิวซียมนี้
เราได้เข้าไปดูงานในส่วนของเราคืองาน archive ซึ่งก็เป็นของรัฐบาลกลางเช่นเดียวกับที่เราได้ไปดูที่แมรี่แลนด์
แต่จะมีข้อมูลน้อยกว่าเพราะเจาะจงแค่ประธาธิบดี LBJ คนเดียว
จริงๆเขาบอกว่าไม่ควรใช้คำว่า library ด้วยเพราะมีหนังสือไม่มากและไม่ได้ให้บริการในลักษณะนั้น
ที่นี่มีการให้บริการนักวิจัยมาค้นข้อมูล โดยเข้ามาค้น นำกล้องถ่ายรูป ดินสอ
สมุดและโน้ตบุ๊ค แต่ไม่อนุญาตปากกาเหมือนที่อื่นๆนั่นเอง
เพราะถ้าเกิดความเสียหายกับเอกสารแล้วแก้ไขยาก
อีกส่วนที่น่าสนใจคือสื่อที่เก็บเสียงของ LBJ ซึ่งเป็นสื่อเก่ามากจนหาเครื่องเล่นแทบจะไม่ได้
เช่น Dictabelt ของ IBM เพิ่งเคยเห็นเหมือนกันค่ะ
นอกจากส่วนของ
archive
ก็ได้ชมมิวเซียมอย่างละเอียด มีเจ้าหน้าที่นำชม
มีรายละเอียดที่น่าสนใจมากมาย ทั้งในส่วนชีวประวัติ
ความเป็นไปของโลกในช่วงเวลานั้นๆ
และเนื่องจากเป็นแขกของรัฐบาลก็ได้เข้าชมในส่วนพื้นที่ของ LBJ ที่ปกติไม่ได้เปิดให้เข้าชม มีของที่ระลึกต่างๆที่น่าสนใจ
เข้าไปชมแล้วดีใจมากที่พบว่าในบรรดาอาคันตุกะระดับโลกจากต่างประเทศที่มีรูปอยู่ที่นั่น
มีรูปในหลวงและพระราชินีของเราด้วย รวมทั้งมี Invitation to A banquet ที่ฉลุทองงดงามมาก
หมดจากช่วงเวลาดูงาน
ก็กลับโรงแรม เนื่องจากอยู่แถวนี้ไปไหนต้องขับรถไป เดินเที่ยวเองไมได้
ก็เลยแวะเที่ยว Whole
Foods เช่นเคยค่ะ ;)
IVLP #15 Birds, Bullock, and Bats
วันเสาร์
11 ตุลาคม 2557
ถึงวันเสาร์แล้ว
ดีใจ เพราะมีโปรแกรมพิเศษที่สนใจเพิ่มเติมเข้ามาค่ะ วันนี้ออกจากโรงแรมตั้งแต่ 6.30 น. จะไปดูนก ทำตัวเหมือนเวลาจะไปเที่ยวน้ำตกกรุงชิงเลยนะคะ เราออกเช้าขนาดนี้ฟ้ายังมืดอยู่มากเลย
และไม่รู้จะโทษอะไรดี ในบรรดาวันที่อากาศดีๆทั้งหมด
เราอุตส่าห์เลือกมาดูนกวันนี้ซึ่งพยากรณ์อากาศว่าฝนตก และมันก็ตกจริงๆ เง้อ... แต่ก็ยังไปนะคะ
จุดที่เราไปคือ
Hornsby
Bend http://www.hornsbybend.org/ จริงๆแล้วเป็นโปรแกรมนึงของ Austin
Water Utility's Center for Environmental Research ซึ่งเขาทำการบำบัดน้ำเสียที่นี่
และมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับการดูนก เขาก็มีการจัดกลุ่มกันมาดูนก
มีการสำรวจนกประจำเดือนทุกๆเสาร์ที่สองของเดือน และจะมี field trip ทุกๆเสาร์ที่สามของเดือน ตอนเราไปถึงมีคนรออยู่สี่ห้าคน รอดูสภาพอากาศ
ในที่สุดฝนซานิดหน่อยแต่ก็ยังตก ก็ขึ้นรถกันกลุ่มละคัน ขับรถตามกันไป
แต่เนื่องจากเรามาแบบไม่ได้เตรียมตัว ไม่มีอุปกรณ์และ bird guide ก็เลยแยกไปขับรถดูสภาพทั่วๆไปแทน เจอนกหลายชนิดค่ะ แต่ไอเดนไม่ได้ มีเป็ด
มีนกกาน้ำ มีเหยี่ยว ในสระน้ำก็มีเต่า ถ้าฝนไม่ตก ไปเดินตาม Leader น่าจะได้นกดีๆค่ะ T_T
ผิดหวังจาก
Birds
เราขับรถเข้าเมืองไปพิพิธภัณฑ์รัฐ Bullock Texas State
History Museum จะให้ข้อมูลของรัฐตั้งแต่อยู่ใต้การปกครองของเม็กซิโก
สเปน ฝรั่งเศส the Republic of Texas, the United States of America,, และ the Confederate States of America ทั้งหมด 6
ผู้ครอบครองบริเวณที่เป็นเท็กซัสในปัจจุบัน ที่นี่ก็เลยมีธงชาติเท่าที่ผ่านมา 6 ผืน เรียกว่า “Six Flags” เมื่อก่อนเคยไปเที่ยวสวนสนุก
Six Flags magic mountain เคยสงสัยเรื่องชื่อเหมือนกันว่าทำไมมีชื่อแบบนั้น
เขาเอาชื่อจากธงหกผืนนี่ละค่ะ เพราะสวนสนุกนั้นเริ่มเปิดที่เท็กซัสเป็นที่แรก :)
ในพิพิธภัณฑ์มีอะไรให้ดูมาก
คนไอทีจะปลาบปลื้มทีเดียวที่ได้เห็น IC โปรโตไทป์แรกๆที่บริษัท
Texas Instrument สร้างขึ้น เปลี่ยนโฉมยุคไอทีของโลกกันเลย
คุณ Jack Kilby วิศวกรผู้สร้าง IC ก็ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกก์เมื่อปี
2000 อุปกรณ์ Silicon
Transistor ตัวแรกก็ผลิตที่นี่เช่นกัน ได้เห็นต้นตอไอทีแล้วตื่นเต้น
มีแรงบันดาลใจมากมาย
อีกเรื่องที่เป็นแรงบันดาลใจมาตั้งแต่เด็กคือโครงการอพอลโล
11 ที่นำมนุษย์ไปเดินบนดวงจันทร์ ปกติจะคุ้นกับคำที่นีล อาร์มสตรองบอกว่านี่เป็นก้าวเล็กๆแต่เป็นก้าวใหญ่ของมนุษยชาติ
แต่มาเจอที่นี่ว่าจริงๆแล้วคำแรกที่นีลพูดจากดวงจันทร์คือ Houston...the
Eagle has landed. :)
อีกเรื่องที่ดีใจที่ได้ดูคือ
IMAX
3D เรื่อง D-Day Normandy 1944
เพราะปีที่แล้วไปฝรั่งเศสมีเพื่อนแนะนำให้ไปนอร์มังดี เนื่องจากเวลาไม่อำนวยก็ไม่ได้ไป
แต่สนใจประวัติศาสตร์ช่วงสงครามโลกครั้งที่สองมาตลอด หนังเรื่องนี้ทำได้ดี
ให้ข้อมูลเป็นภาพกราฟิกของการยกพลขึ้นบกชัดเจนมาก ความที่เป็นหนังสามมิติด้วยค่ะ
ดูแล้วอินมาก ถ้าอินมากกว่านี้อีกนิดจะสามารถร้องไห้ในโรงหนังได้ด้วย
หนังเขาดีขนาดนั้นกันเลย
ออกจาก
Bullock
Texas State History Museum ก็ไปแวะซื้อหนังสือพิมพ์ใน 7-11 เพิ่งสังเกตว่า 7-11 ที่นี่ไม่แคร์ปั๊มน้ำมัน
ไม่ต้องไปอิงกับปั๊มยี่ห้อใดเป็นพิเศษ เพราะ 7-11 ทำปั๊มน้ำมันเองค่ะ แปลกดี
แล้วเราก็ขับรถวนๆ หลงทางบ้างเล็กน้อยเพื่อหาร้านอาหารที่เขาแนะนำ
ในที่สุดหาไม่เจอ สุดท้ายหันหัวรถเข้าร้านใดๆก็ได้ที่เจอก่อน สรุปว่าได้
กินอาหารเม็กซิกันอีกแล้ว จากนั้นก็กลับโรงแรม
ยังไม่จบโปรแกรมของวันนี้ค่ะ
ต้องขอบคุณคุณปีเตอร์ liaison
ของโปรแกรมนี้มากๆที่พยายามพาไปเปิดหูเปิดตา
ตื่นเช้าาาาาาตรู่พาไปดูนกก็ทีนึงแล้ว ตอนเย็นบอกว่าจะพาไปดูค้างคาว
ค้างคาวพวกนี้อยู่ใต้สะพานคองเกรส กลางเมืองออสตินค่ะ จะอยู่ตามรอยต่อของใต้สะพาน
เราไปจอดรถที่ลานจอดรถใกล้ๆสะพาน มีคนมารอดูกันเยอะแยะ บางคนจะรอดูบนสะพาน
แต่จุดที่ดูชัดกว่าคือใต้สะพาน เพราะค้างคาวจะบินออกมาประมาณทุ่มเกือบครึ่ง
แล้วบินออกไปทิศทางเดียวไปตามแม่น้ำ เห็นบินออกไปเป็นสายเลย
จะมีองค์กรอนุรักษ์ค้างคาวมาให้ความรู้ประชาชนตรงใต้สะพานด้วย เขาเล่าให้ฟังว่าค้างคาวที่นี่จะเป็นพันธุ์เดียวกันทั้งหมด
มีความต่างจากพันธุ์อื่นตรงที่มีหางเล็กๆออกมาด้วย ปกติแม่ค้างคาวจะผสมพันธุ์และมีลูกเล็กๆช่วง
spring และจะเลี้ยงลูกอยู่ที่นี่ ตัวเมียเธอไม่แคร์ตัวผู้ด้วย
เธอเป็น single mom ที่สามารถค่ะ กลางคืนจะบินออกไปหาอาหาร
กลับมาตอนเช้า จนถึงประมาณเดือนสิงหาคม ลูกค้างคาวจะโตพอที่จะออกไปหาอาหารเอง
จำนวนค้างคาวที่เราเห็นก็จะเพิ่มเป็นสองเท่า
จึงเป็นช่วงที่เหมาะกับการมาดูค้างคาวที่สุด อย่างคืนนี้ที่เราไปถือว่ามีมาก
เพราะสองคืนที่ผ่านมามีน้อยมาก คืนนี้เขาประมาณว่าน่าจะถึงล้านสองแสนตัวที่ออกมา amazing
มาก บ้านเราก็มีนะคะ แต่ไม่เคยเห็นอยู่กลางเมืองขนาดนี้
ยืนฟังสต๊าฟหญิงขององค์กรอนุรักษ์ค้างคาวเขาอธิบายได้ความรู้มากมาย
ขากลับก็เลยแวะไปขอบคุณและก็มอบถุงผ้าเล็กๆสกรีนรูปช้างให้เขาเป็นที่ระลึกที่เขาออกมาให้ความรู้แก่สังคมขนาดนี้
นะเราไม่มีค้างคาวก็ต้องเอาช้างมาสู้ J
แล้วก็กลับโรงแรม
มีความสุขแล้วค่ะ แต่ที่ดีกว่านั้นคือ หนูจิ๋ว นักศึกษา MIS รุ่น 1 จบแล้วมาทำงานที่ Houston พรุ่งนี้จะแวะมาหา คงได้คุยกันจุ๊กจิ๊กและเปิดคลาสแกะสลักอีก
จริงๆเมื่อวานก็เห็นในโพสต์ว่า หนูกุ้ง นักศึกษา MIS รุ่น1อีกคนก็อยู่ที่นิวยอร์คช่วงเวลาเดียวกัน แต่ตอนนี้เธอไปโตรอนโตแล้ว
นักศึกษาเราเขาอินเตอร์จริงๆนะ ปลาบปลื้มอะค่ะ :)
IVLP #16 360 loop bridge, Lake Austin, The Domain, Roundrock
วันที่อาทิตย์
12 ตุลาคม 2557
อาทิตย์นี้มีคนพาเที่ยวแล้วค่ะ
หนูจิ๋ว MIS
รุ่น 1 ทำงานอยู่ที่ Houston อุตส่าห์ขับรถมากับเพื่อนตั้งสามขั่วโมงมาพาคุณครูเที่ยว น่ารักสุดๆ
ดีใจมากๆที่ได้เจอ ไม่ได้เจอมาสิบสองปี ยังสวยเหมือนเดิม หุ่นผอมบางนางแบบมากค่ะ
เจอกันที่ล็อบบี้โรงแรม นั่งกรี๊ดกันพักนึงก่อนจะออกไปเที่ยว หนูจิ๋วมีของและขนมมาฝาก
เป็นขนมคล้ายขนมเปึ๊ยะบ้านเราโรยด้านบนด้วย Pecan ซึ่งเป็น Texas
state tree ได้ชิมดูแล้ว หวานเหมาะจะกินกับชามากๆ :)
หนูจิ๋วเคยอยู่เคยเรียนแถวนี้
ก็เลยมีจุดสวยๆที่พาไป จุดแรกเป็นจุดชมวิวสะพาน 360 loop เราต้องจอดรถริมทางฟรีเวย์แล้วเดินขึ้นเขานิดนึง
จะเป็นจุดชมวิวที่สวยมาก เป็นวิวสะพานข้ามแม่น้ำ ไม่คิดว่าออสตินมีวิวแบบนี้
เท่าที่ผ่านมาอยู่ในย่านเมืองและเขตเมืองรอบนอก ออกมานอกเมืองนิดถึงดูเขียวชอุ่ม
สดใสมาก บ้านเรือนบนภูเขาสวยๆ น่าอยู่มาก
จากจุดชมวิวเราไปต่อแถบ
Lake
Austin ย่านนี้มีร้านอาหาร ร้านกาแฟน่ารักๆริมน้ำที่หนูจิ๋วบอกว่าสมัยเป็นนักศึกษาแถวนี้มา
hang out ตลอด เราแวะกินอาหารเม็กซิกันที่ร้านนึงอยู่ริมน้ำ
มีคู้ด(ซึ่งเป็นนกน้ำคล้ายเป็ด มีแต้มขาวที่หน้าผาก) มีน้องเต่า
ว่ายน้ำเล่นกันรื่นเริง ดูเมนูอาหารแล้วในที่สุดก็สั่ง สั่งอะไรก็ไม่ทราบแต่ได้อาหารหน้าตาน่ากินมาก
มาเป็นเซ็ต หลายๆจาน มีทั้งแป้งห่อ ข้าว side dishes มีสไตล์
Thai BBQ ด้วย ใช้แผ่นแป้งห่อเนื้อ ผัก เครื่องเคียงทั้งหลาย
มีน้ำราดให้ด้วยเป็นเหมือน dipping ถั่ว
อีกถ้วยเป็นเหมือนซอสหวานๆ สรุปว่าอร่อยมาก
กินเสร็จจุดต่อไปที่กะว่าจะไปดูคือ
Austin
City Limit ซึ่งเป็นเทศกาลดนตรีประจำปี
ข่าวว่าตั๋วขายหมดล่วงหน้าไปเป็นเดือนแล้ว เราลองขับรถผ่านก็จะเจอเขากั้นทางในบางจุด
พยายามหาที่จอดรถก็เต็มๆๆๆ มีที่พอจะจอดได้ก็ต้องเดินไกลมากกกกก
ในที่สุดก็บอกว่าเราเปลี่ยนเป้าหมายไปช้อปปิ้งกันเถอะ ไปหา Coach ซักใบสองใบก็ดี จุดแรกไปแวะที่ The Domain เป็นย่านช้อปปิ้งมีร้านไฮเอนด์เยอะ
กระเป๋าก็จะเป็นรุ่นใหม่ๆ แลดูแพงมาก ก็เลยไปแวะ outlet อีกจุดแถว
Roundrock รีบทำเวลาในการซื้อเพราะมีนัดทานอาหารเย็นที่บ้านของครอบครัวอเมริกันเป็น
Host hospitality และก็อยากมีเวลาสอนแกะสลักผลไม้ให้หนูจิ๋วด้วย
สรุปว่าได้กระเป๋ามาสองใบและสอนแกะสลักกันในรถ productive อย่างแรง
รีบกลับมาที่โรงแรม
เหลือเวลาอธิบายวิธีแกะผลไม้ได้แป๊บเดียว ดีที่มีลูกศิษย์ฉลาด
แค่ชี้ๆบอกก็ร้องอ๋อขึ้นมาทันที is that it? ช่าย...ง่ายๆแบบนั้นแหละขอบอก
ตอนห้าโมง
คุณปีเตอร์ก็มาพบที่ล็อบบี้ ได้เจอกับหนูจิ๋วและเพื่อน
แล้วก็ออกจากโรงแรมไปซื้อดอกไม้ใน Whole foods ได้ดอกลิลลี่สีชมพูมาช่อนึงสำหรับไปฝาก
host
ครอบครัว
Host
ของเราเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยทั้งคู่แต่สอนคนละที่
ที่บ้านมีน้องหมาตัวเมียตัวโตน่าเอ็นดูสีขาวน้ำตาลชื่อ โรซี่ มีน้องแมวตัวผู้สีทองและสีขาวส้มอีกสามตัว
เนื่องจากมีความสัมพันธ์อันดีกับหมาๆแมวๆมาตลอด โรซี่ก็จะเล่นด้วยยอมให้ลูบขนเกาคอ
นอนนิ่ง ในขณะที่คุณวอลเตอร์น้องแมวอ้วนจะมาเลียหน้าโรซี่
เห็นได้ชัดว่าอิจฉาที่ไม่มีใครมาลูบขน 555
ตามไปดูในครัว
อาหารเย็นวันนี้คือ crab
cake ทอด จริงๆอารมณ์จี่นะคะ คือทอดด้วยน้ำมันโอลีฟนิดหน่อย มีสลัด
ข้าวโพดคลุกกับอะไรซักอย่างผัดเนย หน่อไม้ฝรั่งลวก
ของหวานเป็นเค้กชิ้นเล็กๆหลายชนิด แขกวันนี้นอกจากเรา host เชิญเพื่อนที่เป็นอาจารย์ด้านไอทีมาด้วยอีกคนเป็นชาวอินเดีย
มีอารมณ์ขันมากมาย ได้คุยกันหลายเรื่อง อยู่ในครัวก็เรื่องทำครัว ทำสวน
บนโต๊ะอาหารหัวข้อจะหลากหลายมากเพราะแต่ละคนมีประสบการณ์เดินทางกันมาก
กว่าเราจะกลับก็ประมาณสามทุ่ม เป็นประสบการณ์เยี่ยมบ้านที่ดี เพราะเท่าที่ผ่านมา
ไม่เคยเข้าครัวชาวอเมริกันแทัๆเลย เคยแต่ไปตามบ้านเพื่อนที่มีเชื้อชาติอื่นๆ กลับโรงแรมถึงเวลาจัดกระเป๋าอีกแล้ว
พรุ่งนี้ต้องออกจากออสตินแล้วค่ะ
IVLP #17 Austin airport-Denver-Seattle
วันที่จันทร์
13 ตุลาคม 2557
วันนี้เป็นวันเดินทาง
ออกจากโรงแรมตั้งแต่ 6:30 น. แวะเติมน้ำมัน มาถึงสนามบิน คืนรถ เช็คอิน
โหลดกระเป๋า ค่าโหลดใบนึงประมาณ 25 เหรียญนะคะ ผ่าน security ที่ต้อวถอดแจ๊กเก็ต
และรองเท้าอีกแล้ว เสร็จทุกอย่าง นั่งเล่นที่เกทเวลา 7:45 น.
เครื่องออก 9:00น. Boarding time 8:25
น. มีเวลาเดินเล่นหากาแฟกิน ซื้อทาโรห่อไข่และแฮมมานั่งกิน
ฝนก็เริ่มตกปรอยๆข้างนอก รอต่อไป...
เครื่องออกจากออสตินตามเวลา ไปถึงสนามบิน Denver สิบเอ็ดโมงกว่า ต่อเครื่องไปซีแอตเติล. 11:56 ก็มีเวลาพอดีๆ แต่ไม่หลือพอให้เดินเล่น เราลงเครื่องเกท 16 แล้วเดินไปเกท 44 ระยะทางใช้ได้เลย คนก็แน่นมาก
ไม่ค่อยมั่นใจเหมือนกันว่าเพราะเป็นวันหยุดยาวหรือเปล่า วันนี้เป็นวัน Columbus
Day หลายที่ก็หยุดงานกัน
มองจากเครื่องบินวิวจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จากออสตินมาแถว Denver มีเทือกเขาร็อกกี้มีหิมะคลุมยอดอยู่ สวยมาก
ในขณะที่บริเวณเพาะปลูกเขาทำแปลงเป็นวงกลมเหมือนกราฟ Pi แล้วก็ปลูกที่ละส่วนเหมือนตัดเค้กชิ้นใหญ่ๆ
จาก Denver ไปซีแอตเติล แรกๆก็แห้งแล้งมาก
แล้วก็สลับบางส่วงมีภูเขาหิมะ มีแหล่งน้ำใหญ่ บางที่ถึงกับมีกังหันลม
คิดว่าอยู่ฮอลแลนด์กันทีเดียว
Seattle จะช้ากว่า Austin 2
ชั่วโมง ก็จะต่างจากเมืองไทย 14 ชั่วโมง (ถ้าวันนี้ 13 ตุลาคม เวลาออสตินบ่ายสอง ซีแอตเติลเป็นเวลาเที่ยง
และบ้านเราเป็นตีสองของวันที่ 14)
มาถึงสนามบินก็ไปเช่ารถ ที่รี่ธุรกิจเช่ารถคงจะเป็นที่นิยมมาก
เขาแยกที่ทำการออกไปต่างหาก มีรถshuttle bus รับส่งตลอดเวลา นั่งรถไปประมาณห้านาทีก็ไปถึงที่เช่ารถ
แล้วก็ไปเอารถในลานจอดรถ ขับเข้าในเมือง ระบบ navigation ของรถคันนี้ไมีใช่ทัชสกรีน
และระยะเวลาในการแจ้งระยะทางก็ไม่เท่ากัน ท่าทางจะเป็นเวอร์ชั่นเก่า
ทำเอาเราขับรถวนหลงทางกันเล็กน้อยก่อนจะถึงโรงแรม
ที่โรงแรม Mayflower Park มีเอกสารแจ้งกำหนดการรออยู่เช่นเคย
หลังจากคุยนัดแนะกับ liaison แล้วก็ออกไปเดินเล่น
เนื่องจากอยูีกลางเมืองอนู่แล้ว ก็เดินไปที่ตลาดขายของสด ทีทั้งตลาดปลา ผลม้.
ขนมนมเนยทั้งหลาย แล้วก็เดินเล่นไปตามถนนสายหนึ่ง เดินวนไปถึง pioneer
building แล้วก็เดินวนกลับมาถนนสายสี่กลับโรงแรม แวะเข้า Macy's
หนึ่งทีในฐานะอนู่หน้าโรงแรม :)
IVLP #18 University of Washington, Washington Library
Association, Seattle State Library - Home Hospitality Dinner
วันที่
14 ตุลาคม 2557
ที่นัดหมายแรกทีีไปเยี่ยมชมวันนี้คือ
University of Washington iSchool ยังไม่ทันได้เข้าตึกก็ชื่นชมกับแคมปัสมากๆ
เป็นแคมปัสใหญ่ สวยสไตล์ตึกเก่าสมกับที่อยู่มาแล้วร้อยกว่าปี
สนามดูเขียวสดใสสมกับเป็นเมืองที่มีฝนตกมาก เราไปที่อาคาร Mary Gate Hall ที่ UW iSchool มีการเปิดปริญญาโททั้งสาขา Information
Management และ Library and Information Science(MLIS) ซึ่งมีจุดเน้นต่างกัน IM เน้นให้ไปบริหารงาน IT
ทำการวิเคราะห์ข้อมูล ในขณะที่ MLIS เน้นในเชิงบริการ
จัดการความรู้ ให้เป็น Librarian เฉพาะทาง
ลองถามถึงการเรียนในส่วนไอที CS หลักสูตรเหล่านั้นจะเน้น Design
& build เน้น algorithm จะไปสังกัด Engineering
แทน ได้คุยกันต่อในเรื่องการบริหารคณะ ที่นี่ใช้ระบบการเรียนแบบ quarter
อาจารย์ผู้สอนเป็น 3years contract คุยต่อเรื่องการประเมินผลงาน
ได้คุยตามเวชาที่นัดไว้แล้วก็ออกมาเตรียมไปจุดเยี่ยมชมที่สอง
แบะมีเวลาได้เดินชมมหาวิทยาลัยนิดหน่อย ไปดู hub ซึ่งมี food
court มีร้านทำผม ร้านขายของ book store และ
ที่ทำกิจกรรมแบะกีฬาหรือเล่นเกมส์ คึกคักมาก
อาหารกลางวันวันนี้ลองเข้าร้านอาหารเยอรมัน กินไส้กรอก :)
จุดเยี่ยมชมที่สองเป็นห้องสมุดใน King county ที่ใหญ่พอควร เดิมใช้ชื่อเป็น Bellevue Regional Library มึผู้มานำชมสถานที่ละพูดคุยในรายดปละเอียด เริ่มจากการชมห้องสมุดซึ่งออกแบบได้ดีมาก
หลังคาสูง โล่ง มีแสงสว่างตลอด ที่นี่มีส๊าฟประมาณ 100
กว่าคนเป็น librarian 13-14 คน ใช้ระบบห้องสมด Bibliocommons
ซึ่งผู้ใข้นอกจากการค้นหรือทำสิ่งอื่นๆแล้วสามารถสร้างลิสต์การอ่านของตัวเองได้ด้วย
มึการมห้บริการน่ารักๆ อย่างห้อง Story time เอาไว้เล่านิทานให้เด็กฟัง
ซึ่งที่นี่ต้องให้บริการหลายภาษาเพราะคนที่มาใช้บริการหลากหลายมาก เช่น
พ่ออาจมาทำงานกับไมโครซอฟต์ แล้วก็ได้พาลูกๆมาห้องสมด
ในอเมริกาห้องสมุดเหมือนเป็นศูนย์กลางให้ความช่วนเหลือทุกอย่าง
มีไปถึงบริการสื่อสอนภาษา เป็นศูยน์ช่วยหางาน ได้คุยเรื่องการบริหารงาน
พบว่าที่นี่ค่อนข้างพิเศษคือไม่ได้ใช้งบส่วนกลาง แต่งบส่วนใหญ่จะมาจาก property
tax ปกติภาษีส่วนนี้จะไปที่โรงเรียนแต่ที่นี่มาให้ห้องสมุดด้วย
และต้องไม่ลืมว่ามี Bill Gate และคนรวยอยู่เขตนี้มาก
ก็มีเงินภาษีมากตามไปด้วย องค์กรที่นี่ก็บริหารงานน่าสนใจคือ มี Library
board ของเขตนั้นๆดูแล มีผู้อำนวนการบริหารงาน
ลงมามีผู้ช่วยแล้วแยกเป็น cluster manager ลงมาเป็น site
manager แล้วแนกเป็นหน่วยน่อยตามงานแล้วตึงลงมาเป็นคนทำงานเช่น librarian
อืมม์ ซับซ้อนมรกอย่างน่าแปลกใจ
ได้ถามเขาว่าเขาใช้กลยุทธ์ยังไงที่จะดึงผู้ใช้ให้เข้ามาใช้งาน
เพราะคนที่เพิ่งย้ายเข้าอเมริกาก็ไม่รู้ว่าจะหาความข่วยเหลือแหล่งความรู้ยังไง
เจาบอกว่าเขาจะมี mall location คือไปหาผู้ใช้กันตามห้างกันเลย
ออกแนวบริการวิชาการนะคะ
จุดต่อไปเป็นห้องสมดที่อยากเยี่ยมชมมากเพราะดูแต่รูปมานาน คือ Seattle Public Library ดีไซน์ตึกที่นี่ยอดเนี่ยมมาก
เป็นกระจกต่อๆกันทรงสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน เป็นอาคารที่ใหญ่มาก
บริการที่มีให้ผู้ใช้มากอย่างเหลือเชื่อ
อะไรๆที่ไปดูมาจากห้องสมุดต่างๆที่นี่ก็มีทั้งนั้น เทคโนโลยีที่ใช้ amazing
มาก เช่น self check in ที่อื่นก็ใช้เครื่องอัตโนมัติในการ
รับหนังสือเลื่อนไปตามสายพาน แล้วไปแยกอัตโนมันตามประเภทของหนังสือหรือสื่อ
ที่อื่นเขาก็จะแยกใส่ตะกร้าจะได้เอาใส่รถลากไปจึ้นชั้นวง่ายๆ
ที่นี่สายพานยกสูงขึ้นข้างบนแถมแยกหนังสือลงชั้นลากได้เอง เก๋มั้ยล่ะ
ที่นี่มีบันไดเลื่อนสีเขียวเปรี้ยวจี๊ด มีร้านอาหาร
มีมุมอ่านหนังสือแยกกันหลากหลาย มีห้องอบรม
มีกิจกรรมซึ่งผู้ใช้สามารถดูจากจอได้ว่าวันนี้มีกิจกรรมใด ที่นี่มีห้องประชุมแบบ theater
400 ที่นั่ง ใช้ในการประชุมจองเมือง ใช้ดป็นที่เบ่นคอนเสิร์ต
การบรรยาย ฯลฯ มีหน้าจอแสดงสถิติการยืมออกมาเผ็นรายชั่วโมง
มีห้องเฉพาะให้รักเขียนมาสค้างงานเขียนที่นี่ ที่นี่ใช้ระบบดิวอี้
บนพื้นทางเดินจะมีเลขบอกไม่ต้องไปอ่านป้ายว่ากำลังอยู่ในชั้นหนังสือเกี่ยวกับอะไร
ในซัแอตเติลจริวๆก็ยังมีคนที่ไม่มี internet access อีกมาก
ห้องสมุดห็จะเป็นแหล่งให้บริการทุกอย่าง และให้บริการฟรี แอบอิจฉาคนแถวนี้นะเนี่ย!
ออกจากห้องสมุดกบัยโรวแรม
เตรียมตัวไปทานข้าวเย็นกับเจ้าบ้านชาวอเมริกันที่ทางโปรแกรมจัดให้
เขามารับที่โรงแรมตอนหกโมงเย็นค่ะ host วันนี้ฝ่ายหญิงเป็น Librarian ที่รีไทร์แล้วแต่ยังไปบรรยายในมหาวิทยาลัยและทำกิจกรรมช่วยห้องสมุดเสมอๆ
รวมถึงมีผลงานพิมพ์หนังสือ เจ้าภาพฝ่ายชายรีไทร์แล้วเช่นกัน
แต่เคยสอนในด้านการแพทย์และมีลูกศิษย์ลูกหาใหญ่โตไปตามๆกัน
มีผู้ร่วมงานในเมืองไทยด้วย ก็เลยได้เดินทางมาเที่ยวเมืองไทยกันแล้ว
นั่งรถไปที่บ้านในเขต Edmonds เป็นเมืองเล็กริมทะเล
น่าอยู่มาก บ้านใหญ่และสวยมากกกกก อยู่บนเขาหันหาทะเลทิศตะวันตก.
จะมองเห็นทะเลจากแทบทุกห้องของบ้าน เป็นบ้านในฝันมากๆค่ะ
ดีไซน์ของย้านเล่นระดับสวยมาก ตกแต่งสวย ความที่เจ้าของบ้านเดินทางมาก
ก็จะมีของที่ระลึกจากหลายๆประเทศ รวมถึงของไทย :)
เขาพาชมทุกห้องเลยค่ะและก็สวยทุกห้องตั้งแต่ห้องนอนไปยันห้องน้ำ
ในห้องรับแขกมีกล้องส่องทางไกลใหญ่ชนิดดูดาวได ความที่ออกแบบดี การใช้เฟอร์นิเจอร์
การใข้พื้นที่แนบเนียนมากๆ ที่น่ารักมากๆคือมุมอ่านหนังสือนอกบ้าน
มีม้านั่งแบบในสวนสาธารณะทีีเพื่อนบ้านทำไว้ให้เพราะรู้ว่ารักหนังสือและมีปัายเขียนให้เลยว่าของใคร
เก๋ๆอะค่ะ บ้านนี้มีต้นแอปเปิ้ลซึ่งเอามาทำพายแอปเปิ้ลเป็นของหวานวันนี้ด้วย
มื้อนี้กินอาหารสุขภาพนิดนึง ไส้กรอกไก่งวง โคลส์ลอว์
เป็นบรรายากาศบ้านที่สบายๆมาก ระหว่างกินข้าวก็ได้คุยกันหลากหลายเรื่อง ตั้งแต่เรื่องห้องสมุด
เรื่องนก ภาพยนตร์ เรื่องของครอบครัว เรื่องทำอาหาร
ในที่สุดก็ลองแกะสลักให้เขาดูแต่ใช้มีดบางแบบทำครัวเพราะไม่มีมีดแกะสลักแล้ว.
เห็นเขาชอบของที่เป็น personalized ก็เลยแกะชื่อบนกล้วยให้ด้วย
เขาชอบใจใหญ่ เข้าไปทำเนียนๆแบบเป็นคนในครอบครัวค่ะ 555
ขากลับโฮสต์ชี้ให้ดูย่านบ้านริมทะเบที่พระเอกอยู่ในหนังเรื่อง Sleepless in Seattle ถ้ามีเวบาจะไปตามรอยนะคะ
แล้วก็พาขับรถวนดูภาพฉายบนผนังแถว Art museum แต่วันนี้ไม่มีเพราะอาจจะดึกแล้ว
กลับถึงโรงแรมตอนสี่ทุ่มอย่างมีความสุข :)
IVLP #19 WATAP, Microsoft, OCLC, Space Needle
วันพุธที่
15 ตุลาคม 2557
การดูงานวันนี้มีสามแห่งคือที่ WATAP,
Microsoft, และ OCLC
จุดแรกไปที่ WATAP อยู่ใกล้ University
of Washington ที่มาเมื่อวาน ที่นี่เป็นศูนย์ให้ความช่วยเหลือผู้พิการเป็นหน่วยงานที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลกลางไม่ใช่ของรัฐ
แต่จะมีการกระจายไปเป็นออฟฟิซทุกรัฐ
จะให้ความช่วยเหลือผู้พิการทุกรูปแบบสามารถเจ้ามาขอคำแนะนำในการใข้อุปกรณ์ที่เหมาะสมกับเขามากที่สุด
โดยที่นี่จะมีคนคอยแนะนำสาธิตอุปกรณ์ให้ดู ให้ยืมไปใข้ที่บ้าน
เมื่อคุ้นเคยและคิดจะใชัก็อาจต้องหาแหล่งสนับสนุนเพราะราคาค่อนข้างสูง จนท.
ที่ทำงานจะมีคนที่ดูแลด้าน AT - Assistive Technology ถามเขาว่าถ้าจะเรียนเพื่อมาทำงานแบบนี้ต้องเรียนอะไร
เจาบอกว่าโปรแกรมมีหลากหลายขึ้นกับสถาบันที่สอน แต่ต้องเรียนเฉพาะด้าน
อย่างคนที่คุยด้วยก็เรียนด้านนี้ซึ่งจะอยู่ในคณะแพทย์ เป็นต้น
ก็นั่งคุยอยู่พักนึงว่าอย่างในมหาวิทยาลัยของเรา
ก็ต้องจัดเตรียมอำนวยความสะดวกให้นักศึกษาและกรณีของเราศูนย์บรรณจะดูแลเรื่องอุปกรณ์และสื่อ
เจาก็เลยเล่าว่าเข่ก็ดำเนินการร่วมกับห้องสมุดเช่นกัน เข่น
มีการนำอุปกรณ์เล็กๆไปวางไว้ทีีห้องสมุดเพื่อผู้พิการจะได้มาลองใช้ได้
ออกจากที่นี่ก็ถึงเวลาอาหารเที่ยง ย่านนั้นมีร้านน่ารักๆหลายร้าน
เรากินอาหารอิตาเลียน มีเมนูที่ชอบมาก กะจะกลับไปทำ คือไก่ทารากอน
และก็ไก่อบกับเฮเซลนัทและมะเดื่อ กิรกับลาซานญาเนื้อ ขีวิตดีมาก
จอนินทาน้อง Navigator ในรถเล็กนัอย
ความที่เธอเป็นระบบ GPS ที่น่าจะเก่าพอควร
บางทีเธอก็มีอะไรแปลกๆ เช่น re-calcuating อันนี้บ่อย
เพราะเธอระบุให้เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาแต่บางทีถนนจริงๆมันมีทางแยกย่อยมากกว่านั้น
วันนี้เจอแปลกนิดนึง เธอบอกว่า "When Possible Make a Legal
U-turn!" ก็ไม่อะไรหรอกนะ. แต่เธอบอกตอนที่เราอยู่บนถนน Interstate
5 จะยูเทิร์นยังไงละเนี่ย และเราก็ไปถูกทางด้วย
จุดต่อไปคือ Microsoft! ตื่นเต้นๆ
นึกไม่ออกว่าจะหน้าตาเป็นยังไง Microsoft อยู่ในเขตเมือง Redmond
ขับรถลงจากฟรีเวย์ลงไปเป็นถนนปกติ แล้วก็จะเจอตึกต่างๆของ Microsoft
กระจายตัวอยู่ทั่วไปเหมือนเป็นเขตตึกที่ทำงานทั่วไป
คล้ายนิคมอุตสาหกรรม เรากำลังพูดถึงพื้นที่ขนาดใหญ่ (ก็ไม่ใหญ่กว่า มวล หรอกค่ะ)
มีคนทำงานมากกว่าสี่หมื่นคน จับรถวนๆกาตึกอนู่พักนึง เราไปจอดรถที่ลานหมายเลข 99 แล้วเดินตัดสวน ( สวนป่าจริงๆค่ะ มอสขึ้นอย่างเขียวเลย)ไปที่ตึก Visitor
center และจุดทีีเรามาชมคือห้องสมุดของ Microsoft เราไปถึงก่อนเวลา ก็ติดต่อเคาน์เตอร์ต้อนรับ ทำสติ๊กเกอร์ visitor และเดินดู Microsoft store พักหนึ่งก่อน
ห้องสมุดของMicrosoft เป็นห้องสมุดเล็ก
เพราะทุกอย่างที่นี่อยู่บนเว็บ ที่นี่ใข้ระบบ Polaris Lms และทำบน
SharePoint หน้าจอเขา informative ดี
ผู้ใช้สามารถทำReading list เนื้อหาที่นำเสนอแบ่งตาม Role
based content โดยที่เขามี Microsoft Taxonomy ไว้แยกแยะเนื้อหา ที่นี่แบ่งการจัดหนังสือเป็นสองด้านคือ หนังสด้านธุรกิจและเทคนิค
ถ้าไม่มาที่ห้องสมุดผู้ยืมสามารถยืมผ่านเว็บและมีบริการส่งให้ทุกวันตอนเย็น
ในการส่งคืนแต่ละตึกจะมีจุดดรอบหนังสือ แล้วหนังสือก็จะส่งกลับมาที่ห้องสมุด
ที่นี่จัดส่งหนังสือไปให้ประเทศต่างๆ รวมถึงประเทศไทยด้วย
ยังคุยกันว่าถ้าเป็นเวอร์ชั่น e-book ทั้งหมด
ชีวิตน่าจะดีกว่านี้ ในเว็บจะมีมุมแนะนำหนังสือโดยผู้บริหาร
มีคนเข้ามาอ่านและพูดคุยกันบนเว็บ(ที่นี่มี social media คล้าย
Facebook ของตัวเองที่ใช้เป็นการภายในชื่อ Yammer) หนังสือพวกนี้ห้องสมุดจะมีให้ยืมซึ่งจะเป็นที่นิยมมาก
ดูรูปในอัลบั้มนะคะเผื่อจะได้หามาอ่านบ้าง
ในหัองสมุดมีนิตยสารที่ยังวางให้บริการอยู่บ้าง
แต่ส่วนใหญ่ทั้งหนังสือพิมพ์และนิตยสารให้อ่านออนไลน์ได้
จุดที่น่าสนใจมากอักอย่างคือ ที่ Microsoft ส่งเสริมให้คนสร้างสรรค์งาน ถึงแมัจะไม่เกี่ยวกับงานที่ทำ เขาก็จะมีห้อง Maker
Garage เป็นห้องที่พนักงานสามารถเข้ามาลองทำอะไรเล่นด้วยตัวเอง
ในหัองมีตั้งแต่โต๊ะทำงานช่างพวกบัดกรี ต่อวงจร
มีจักรเย็บผ้ามีอุปกีณ์เย็บปักถักรัอย มี plotter มี 3D
printer มีไปถึงตุ๊กตาตัวใหญ่ๆ เสริมสร้างจินตนาการกันสุดๆ
ที่นี่ใช้คำว่า garage เพราะาิ่งที่คิดค้นขึ้นมาในอเมริกาหลายอย่างเริ่มจากที่จอดรถนี่เอง
การเดินทางในเขตบริษัทจะใช้รถรับส่ง มีทั้งรสบัสเล็กและรถเก๋ง
เวลาใครจะเดินทางไปตึกไหนก็จะโทรเรียกรถ รถจะมารับ อารมณ์แบบแท๊กซี่ค่ะ
ก็ต้องคอยกันประมาณนึง เขาพาไปดู archive ต่อซึ่งอยู่อีกตึกนึงต่างหาก ปกติต้องเห็บของเก่ามากๆ
แต่ที่นี่เริ่มเก็บเร็ว ซึ่งโชคดี เพราะหลักญานทั้งหลายจะได้อยู่ครบ ออกจาก archive.ก็รีบเข้าเมืองไปอีกประชุมหนึง
จุดถัดไปคือ OCLC ทีแรกก็ว่าทำไมคุ้นๆ
ชาวสารสนเทศเพิ่งไปงานนี้กันนี่นา เห็นรูปในเฟส :) 2014 MEMBERSHIP
CONFERENCE “Collaboration in the Asia Pacific Century” Monday–Tuesday, October
13–14, 2014Jeju, Republic of Korea แต่ที่เราไปคุยเป็นออฟฟิซ
เขาก็เล่าลักษณะการทำงานของ OCLC ซึ่งเป็น nonprofit
org มีสมาชิกเป็นห้องสมุดทั่วโลก แล้วทาง OCLC ก็จะดำเนินการเพื่อช่วยห้องสมุดให้สามารถทำงานให้ดีขึ้น งานหลักๆของเขาคือการ
explore trend ต่างๆ ห้องสมุดในอนาคตควรเป็นอย่างไร
มีงานใรการ share resources เช่น มี worldCat เป็น union catalog และมึการทำ market
research แล้วให้ข้อมูลเพื่อให้ห้องสมุดพัฒนางานต่อไป
คุยกันในเรื่องบทบาทของห้องสมุด ห้องสมุดควรเป็นอย่างไร
เขาบอกว่าอันนี้ต้องขึ้นกับชุมชนของเขาว่าอยากให้ห้องสมุดเป็นอย่างไร
ห้องสมุดไม่ได้มีแค่หนังสือแต่จะสามารถให้บริการกับชุมชนได้อีกมาก
คุยกันต่อเรื่อยๆเลยต่อเนื่องได้ว่าที่นี่ก็รับทุนจาก IMLS ที่ดีซีที่เราไไปเยี่ยมช่วงแรกๆ
ทุนที่ได้เขาเอามาทำโปรแกรมเพื่อพัฒนา competency ของคน
ให้มีทักษะพอที่จะนำไปใช้ในงานที่ต้องการได้ นั่งคุยกันจนจะห้าโมง เกรงใจทีเดียว
เพราะเราเจอรถติด มาข้าไปร่วมยี่สิบนาที เป็นครั้งแรกที่สายเลยเชียว
โทษรถรับส่งไมโครซอฟต์เพราะต้องรอรถนานและต้องขับรถวนรับหลายคนกว่าจะมาส่งเราที่ลานจอดรถ
;)
ออกจาก OCLC ก็ขอให้คุณปีเตอร์ดรอปใหัทึ่
Space Needle เพราะอยู่แถวนั้นอยู่แล้วจะได้ไม่ต้องย้อนกลับมา
ที่นี่เป็น icon ของซีแอตเติลกันเลย คนไม่มากเท่าไร
คงเพราะเป็นวันธรรมดา และเมื่อเข้าก็ฝนตก แดดเพิ่งมาออกตอนบ่ายมากแล้ว
ซื้อตั๋วจึ้นไปดูวิว สวยมาก มีทั้งวิวเมืองและวิวทะเล บ้านเรือนผู้คนก็น่ารัก
เหมือนบ้านตุ๊กตา
แต่หนาวได้ใจ วันนี้ใส่สูทก็เอาไม่อยู่
เดินวนดูวิวข้างนอกสองรอบอย่างรวดเร็วแล้วเข้ามาดูวิวข้างในแทน เดินวนๆหลายรอบ
พอใจแล้วก็ลงมา
บริเวณใกลัๆกันมีสวนงานศิบปะแสดงกาีเป่่แก้วเป็นรูปทรงต่างๆทั้งใหญ่แบะเล็ก สีสันสวยมากๆ
ยังไมีเข้าไปเพราะเริ่มจะค่ำแล้ว ดูไว้ก่อนเผื่อมีเวลามาวันหลัง
แถวนี้มีศูนย์แสดงนิทรรศการวิทย์ มี IMAX และอื่นๆอีก วันนี้ไม่ไหวแล้ว หนาวขึ้นเรื่อยๆ เดินกบัยมาจึ้นโมโนเรล
สายนี้สิ่งระหว่าง space needle กับ West Park Center
โรงแรมที่พักอยู่แถวเซ็นเตอร์นั้รเลย ชีวิตเล่นง่ายมาก
โมโนเรลจะตอดบนชั้นสามของห้าง เดินออกม่ก็เป็นศูนย์อาหาร หลากหลายมาก
อาหารเม็กซิกัน อาหารไทย อาหารจีน อาหารอินเดีย
ซื้ออาหารจีนเสฉวนใส่กล่องมากินกล่องใหญ่กับข้าวสองอย่างกินกับข้าวและก๋วยเตี๋ยว
ชีวิตเริ่มดี เดินลงมา อ้าว เจอร้านไดโซะ ของราคา 1.5 เหรียญ
คุ้นเคยมาก เดินลงไปแวะซื้อบ่เต้ที่ Starbucks อีกแก้ว
ตอนนี้ชีวิตเข้าสู่ระดับเพอร์ดฟคแล้วค่ะ :)
IVLP #20 Washington State Dept of Enterprise Services,
Washington State Library, State Capital Tour
วันพฤหัสบดีที่
16 ตุลาคม 2557
เช้านี้เดินทางออกจาก Seattle ไป Olympia ประมาณออกจากเมืองใหญ่ไปเมืองเล็กใกล้ๆ
แต่จริงๆแล้ว Olympia เป็นเมือวหลวงของรัฐสอชิงตัน
อารมณ์เหมือน หาดใหญ่กับสงขลาอะค่ะ ส่วนราชการต่างๆของรัฐจะอยู่ทีีโอลิมเปีย
ขับรถไปประมาณชั่วโมงเศษๆลงไปทางใต้ ระหว่างทางสวยงามเพราะใบไม้เริ่มเปลี่ยนสี
อากาศดี มัแดด บางช่วงจะมองเห็น Mt. Rainier ที่มีหิมะปกคลุมยอด
ช่วงเช้าเห็นไม่ชัด แต่ตอนขากลับเห็นชัดมาก ( ภูเขาลุกนี้ใหญ่มาก สูงประมาณ 4,300 กว่าเมตร เทียบกับเขาหลวงบ้านเราประมาณ 1,900
กว่าเมตร คนละสเกลกันเลยนะคะ ) เราไปถึงก่อนเวลาก็เลยแวะไปกินกาแฟ
ร้านที่ไปกินน่ารักมาก มีอาหารและขนมหลากหลาย นั่งกินรอเวลาแล้วก็ไปตามนัด
จริงๆเดิมเวลานัดเร็วกว่่นี้ แต่เขามีซ้อมเตรียมการสำหรัยแผ่นดินไหว
ก็เลยเลื่อนเวลาออกไปนิดนึง
จุดแรกที่ไปคือ Washington State
Department of Enterprise Services ที่นี่เป็นหน่วยงานสนับสนุนการให้บริการต่างๆให้ประขาชนและธุรกิจ
เขาจะมี web portal ชื่อ Access Washington ที่จะลิงก์ไปสู่บริการต่างๆภาครัฐ. ซึ่งน่าจะคล้ายกับรัญอื่นๆ เช่น
การบริการต่ออายุใบขับขี่. การจอใบอนุญาตต่างๆ ข้อมูลภาคธุรกิจ ฯลฯ ที่น่าสนใจคือ
เขาทำ Usability test เพื่อตะทำเส็บให้เหมาะกับผู้ใช้มากที่สุด
มีการให้คนมาเข้าแลปแล้วลองใช้เว็บใน scenario ต่างๆ
เก็บข้อมูลจากการใช้ แล้วปรับปรุงจนกว่าจะเหมาะสมที่สุด
แล้วก็มีการออกแบบสอบถามออนไลน์. งานอีกอย่างที่เขาทำอยู่คือ e- learning
program สำหรับเจ้าหร้าที่ของรัฐที่อนู่ใรเมืองต่างๆจะได้ไม่ต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการมาอบรมที่โอลิมเปีย
เขาอบรมตั้วแต่การใช้โปรแกรมทำงบประมาณ งานการเจ้าหน้าที่
โดยมีแผนการดำเนินการต่อเนื่องอีกหลายเรื่อง ที่นี่ใข้ articulate,
storyline ทำ SW Simulation เป็น interactive
ผู้เรียนเรียนตาม role based จึงไม่จำเป็นต้องลงรายละเอียดทุกเรืองเหมือนการอบรมปกติที่จะครอบคลุมทั้งหมดเพราะเป็นคอร์สกลาง
เรียนแล้วก็จะมี assessment เพื่อให้เช็คว่ารู้เรื่องในสิ่งที่ควรรู้ครบถ้วนหรือไม่
ถามเขาถึงช่วงเวลาในการพัฒนา จะใข้เวบาประมาณ 12
สัปดาห์พัฒนาระบบโดยต้องมีการทำหลักสูตรมาก่อน
ซึ่งจะใข้เวลานานกว่าช่วงพัฒนาขึ้นกับการทำงานที่อาจทำหลายโปรเจ็คพร้อมกัน
ออกจากที่นี่ก็แวะไปทานอาหารเที่ยงริมอ่าว ชื่อร้าน Antony's วิวดี ร้านสวย อาหารอร่อย เป็นที่ชื่นชมว่าปลาสดดีมาก
(พอดีมาจากท่าศาลาอะค่ะ ไม่ตื่นเต้น:) ) ใกล้ๆกันมี farmer market ดปิดตบาดวันพุธพอดี ก็ได้ผลไม้สดๆจากสวน
ตอนบ่ายไปที่ Washington State Library เป็นห้เองสมุดที่เป็นแม่ข่ายของรัฐ แต่ไม่ได้มีอำนาจดูแลห้องสมุดอื่น
แต่จะทำการประสานงานมากกว่า เพราะห้องสมุดของแต่ละแห่งจะได้รับการสนับสนุนจากขุมชนของตัวเอง
เรื่องที่คุยที่นี่คือโปรแกรม Microsoft Academy ที่ทางMicrosoft
เข้ามาให้การสนับสนุนให้ห้องสมุดเป็นหน่วยงานรับผู้สนใจเข้าเรียนคอร์สออนไลน์
คอร์สมีตั้งแต่ระดับพื้นฐานไปจนระดับสูงทั้งด้านการใช้งานทั่วไป เครือข่าย
ฐานข้อมูล ฯลฯ แต่ในการสอบผู้เรียนต้องจ่ายเงินเองถ้าต้องการ certificate (ของ มวล.ก็เพิ่งจัดไปคล้ายๆกัน เป็นคอร์สของไมโครซอฟท์
แต่ของเรามีอาจารย์มาสอน ค่าสอบก็ไม่ต้องจ่าย
ชีวิตในมหาวิทยาบัยมันง่ายกว่าชีวิตจริงข้างนอกนะคะ) นังคุยกันว่า
เขาทำงานกับทางเรือนจำด้วย น่าจะทำให้ผู้ต้องขัง
เขาบอกว่าปัญหาคือในเรือนตำตะไม่อนุญาตให้ติดต่อออนไลน์ ถ้าจะทำต้องทำระบบปิด
ซึ่งเขาก็นังไม่ทำในขณะนี้
อักเรื่องที่น่าสนใจของที่นี่คือ การทำ Digital
library ซึ่งทำในสามโมเดล. อย่างแรกคือเป็น traditional ทำเพื่อให้มาค้นคว้าในเรื่อวทั่วไป แบบที่สองคือ Washington Rural
Heritage เพราะแถบนี้จะมีประวัติศาสตร์ท้องถิ่นที่ อาจเก็บในรูปแบบ
รูปภาพ หรือข้าวของต่างๆ เขาก็จะจัดคนออกไปเก็บข้อมูล สแกนภาพ
แล้วนำมาแสดงให้สาธารณะได้ชม
คนในท้องถิ่นก็ได้เครดิตแบะได้รู้เรื่องราวในอดีตของคนในชุมชนที่ตัวเองอาจรู้จัก tools
ที่ใข้ เขาใช้ ContentDM ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของ.
OCLC. อีกรูปแบบคือ electronic publication จะเก็บข้อมูลที่มีการตัดพิมพ์ทั้งหมด เขาบอกว่าเช่นในกรณีที่เกิดคดีความ
อาจต้องการหลักฐานว่าในขณะนั้นมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น เป็นต้น
พอดีเขาพูดถึวห้องสมุดสำหรับคนตาบอดก็เลยได้คุยต่อถึงอุปกีณ์ต่างๆที่จัดให้
พบว่าที่รี่เพิ่งซื้อเครื่อง scanner มาใหม่
นอกจากจะสแกนอักษรออกมาเป็นไฟล์เอกสารแล้ว ยังสามารถออกมาเป็นไฟล์เสียงได้เลย
เก๋จริงๆ และมันใหม่มากจนเขาเองก็ยังไม่ได้ลองใช้ :) น่าใช้มาก ราคาก็น่าสนใจแค่ 36,000 เหรียญเอง :)
ออกจากที่นี่ แวะซื้อกาแฟ ที่ Starbucks ที่นี่เขา drive in ได้ด้วย เก๋ๆค่ะ
จุดต่อไปคือ State Capital Tour แทบทุกรัฐตึกจะหน้าตาแบบนี้นะคะ
เหมือนศาลากลางเมืองไทยที่หน้าตาเหมือนกันทุกจังหวัด :)
เขาก็พาทัวร์ตั้งแต่ชั้นล่างไปชั้นสาม ได้เข้าไปบางส่วนของห้อง governor ด้วย ไปดูห้อง Reception, senate house, และห้องอื่นๆซึ่งการตกแต่งก็ยิ่งใหญ่นะคะ
แต่ไม่ได้ออกแนวหรูหรา ที่สวยมรกๆคือแชนเดอร์เลียกลางห้องโรทันดา เป็นงานของ Tiffany
สวยสมราคามาก
ใหญ่มากๆขนาดที่เขาทำรูปเทียบขนาดกับรถเต่าว่าสามารถเข้าไปอยู่ในกีอบโคมไฟได้ทีเดียว
ขากลับ ระหว่างทางนั่งรอดู Mt. Rainier มาตลอด สวยมากๆค่ะ พอเข้าเขตใกลเตัวเมือง รถติดมาก มากใช้ได้ถึงจะไม่เท่ากรุงเทพ
มาถึงโรงแรมก็เหนื่อย วันนี้ก็เลยไม่ออกไปเดินเที่ยว ไปเดินช้อปปิ้งแทน :)
IVLP #21 First Starbucks, Office of Chief Information
Technology, Argosy cruise, Underground tour
วันศุกร์ที่
17 ตุลาคม 2557
วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการดูงาน ตอนเช้าต้องไปส่งเอกสารทั้งหลายที่ไปรษณีย์
ดีใจที่สามารถกำจัดไปได้ เหลือเนื้อที่ในกระเป๋าขึ้นมาทันที เอกสารมีเยอะมากทีเดียว
กลับไปต้องค่อยๆอ่านอีกที ระหว่างเดินไปนัดต่อไปก็ผ่าน Pike Place Market อีกครั้ง มาตอนเช้าทุกอย่างดูสดใส
โดยเฉพาะดอกไม้ จัดช่อสวยๆ ราคาไม่แพง แต่เราก็เดินผ่านๆไปเพื่อจะไปที่ร้าน Starbucks
สาขาแรก ตั้งขึ้นที่นี่ข้างตลาดนี่เอง
มีคนไปต่อคิวซื้อแก้วมัคของที่ีระลึกและซื้อกาแฟกันคึกคัก
ไหนๆก็อยู่ใกล้ตลาดปลาซึ่งเขาโยนปลากันเป็นที่รื่นเริง ที่นี่เขาก็ใช้วิธีโยนแก้วกาแฟจากฝั่งคนรับออเดอร์ไปที่ฝั่งคนชงกาแฟ
เก๋ๆ ค่ะ
ออกจากตลาดก็เดินไปที่ตึก WTC มี call conference กับทางผู้จัดโปรแกรมนี้
เสร็จแล้วเป็นประชุมสุดทัายกับเจ้าหน้าที่ของรัฐวอชิงตันด้าน IT Policies. จบประชุมเที่ยงครึ่ว รีบออกมาหาของกินแล้วไปลงเรือล่องชมอ่าว
วันนี้ฝนตกปรอยๆ ก็เลยต้องเดินเข้าเดินออกระหว่างดาดฟ้าที่มีฝนกับข้างในที่อบอุ่น
:) ทัวร์นี้เป็นหนึ่งในทัวร์ที่ให้ข้อมูลดีมาก เพราะไม่ใชีแค่ล่องเรือชมเมือง
แต่จะมีส่วนที่ล่องเรือเข้าไปในเขตท่าเรือที่มีเรือบรรทุกคอนเทนเนอร์ใหญ่ๆ
ก็ตะได้ความรู้เรืองการขนส่งสินค้า ความผิดพลาดในการจัดเก็บสินค้าที่ทำเป็ดที่ทำด้วยยางหล่นลงในน้ำทั้งคอนเทนเนอร์แล้วกลายเป็นงานวิจัยติดตามเส้นทางของน้ำ
เห็นเรือรบที่เข้ามาบำรุงรักษาประจำปี ที่น่ารักมากคือ
มีสิงโตทะเลนอนบนแท่นที่วางอยู่ในอ่าว คงมานอนตากฝนเล่น :)
กลับจากล้องเรือก็กลับโรงแรม แต่เห็นยังมีเวลาที่น่าจะไปชมเมืองได้ตอนเย็น
ก็เลยเดินไปแถว pioneer. Square ไปเข้ากลุ่ม Underground tour ซึ่งจะพาเดินลงใต้ดินเพือดูเมืองซีแอตเติลในอดีตที่ถูกเมืองใหม่สร้างทับ
ก็สนุกดีค่ะ ถ้าเป็นคนแถวนี้คงจะชอบมาก
ในทีสุดก็ได้กลับโรงแรม อ้อ หลังจากแวะ Nordstrom
เพื่อปฏิบัติหน้าที่นักท่องเที่ยวทีดี
พร้อมเดินทางอีกแล้วค่ะ :)
IVLP #22
Seattle airport - SF airport - Narita airport - Ikebukuro
วันเสาร์ อาทิตย์ที่ 18 - 19ตุลาคม
2557
วันเดินทางออกจากอเมริกา เริ่มที่เวลา 7:00 น. คุณปีเตอร์ขับรถท่ส่งที่สนามบิน เที่ยวนี้ใช้สายการบิน United
Airline เริ่มต้นไม่ค่อยราบรื่นเพราะปกติถือตัว itinerary เขาก็เช็ครายละเอียดได้ทันที ที่นี่บอกว่าหา e-ticket number ไม่เจอออกตั๋วให้ไม่ได้ งงจนต้องโทรไปแจ้งคุณปีเตอร์ไวัเผื่อตกเครื่อง
แล้วก็ค้นเอกสารทั้งหมดที่มีในที่สุดก็เจอตัว e-ticket โล่งไป
เขาบอกว่าเที่ยวบินที่จองไว้ดีเลย์ ก็เลื่อนตัวให้เป็นเที่ยว 8:50 นาที บอร์ดดิงเวลา 8:15 น.
ก็ต้องวิ่งกันละซิ เกทก็ไปโน่นเลย A14 เกทสุดท้ายปลายสุด
ไกลมาก ตอนไปถึงเขาบอร์ดกันจะหมดอยู่แล้ว พอขึ้นเครื่องได้ก็นอน
เครื่องลงที่ซานฟรานซิสโก 11:11น เครื่องลงก่อนเวลาด้วย หาของกินในสนามบิน
ต่อเครืองเที่ยวต่อไปเวลา 13:45 น. ไปลงนาริตะ
เครืองวันนี้ยังไม่ปรับระบบเป็นทีวีเฉพาะบุคคล ไม่มีอะไรทำ น่าเบื่อมาก
กินอาหารมื้อที่หนึ่งแล้วก็หลับยาว ตื่นมากินอาหารมื้อที่สองแล้วก็เตรียมตัวลง
ฝากกระเป๋าไว้ที่สนามบินเพราะขี้เกียจขนไปมา ยอมถือกระเป๋าใบเดียวดีกว่า
ค่าฝาก 2,600 เยน ไว้ค่อยจ่ายวันกลับ
เดินไปซื้อตั๋วคันโตพาส 3 วันที่ JR Travel center จองที่นั่งสำหรับทริปวันพรุ่งนี้และมะรืนไว้ด้วยตามที่คุณหลานสั่งมา
ตั๋วนี้ใช้ได้วันนี้เลยกับรถไฟด่วนเข้าเมือง NEX ก็ไปขึ้นรถไฟ
Narita Express (NEX) การประกาศบนรถไฟใช้ทั้งภาษาอังกฤษ
ญี่ปุ่นและจีน มีหน้าจอขึ้นรายละเอียดตลอดเวลาไม่ต้องกลัวหลง
รถไฟออกจากสนามบินเวลา18:15น ไปถึง ikebukuro เวลา 19:53 น. ระหว่างทางมองออกไปก็ค่ำแล้ว
จะไปเที่ยวที่ไหนได้ละเนี่ย เดินหลงกันเล็กน้อยและได้ความช่วยเหลือจากสาวญี่ปุ่นพามาที่พัก
กว่าจะมาถึงที่พักเพื่อเจอคุณหลานที่นัดกันมาร่วมทริปก็ร่วมสามทุ่ม
สรุปว่านอนนิ่งก่อนดีกว่า พรุ่งนี้ต้องออกแต่เช้าอีก
เวลาที่ญี่ปุ่นเร็วกว่าเมืองไทย
2
ชั่วโมง เร็วกว่า Seattle 14 ชั่วโมง
เดินทางอยู่ดีๆเวลาหายไปอีกแล้ว….เฮ้อ
=============================================
จบทริป
IVLP
แล้วค่ะ อย่างราบรื่น และดีใจทุกครั้งที่นึกถึง
=============================================