Saturday, February 02, 2013

Before....Sunrise..Sunset...and Midnight



ตั้งใจจะพูดถึงภาพยนต์เรื่อง Before Sunrise, Before Sunset และ Before Midnight

เพราะกำลังจะมีทริปไปปารีสเดือนพฤษภาคมนี้ ก็ค้นหาหนังที่มีฉากในปารีสมาดูเป็นการใหญ่ ดู Paris Je tiame , Midnight in Paris แล้วก็ดู Before Sunset


ดู Before Sunset แล้วก็ต้องย้อนไปดู Before Sunrise ไม่น่าเชื่อว่าหนังจะคงเรื่องราวสืบเนื่องมาตามเวลาจริง จากเรื่องแรก  Before Sunrise ในปี 1995  หนังเรื่อง Before Sunset มาจับเรื่องราวหลังจากนั้นอีกเก้าปีคือปี 2004  และในปี 2013 นี้กำลังจะมีหนังภาคถัดไปคือ Before Midnight  ไม่น่าเชื่อจริงๆ 18 ปี !!!


หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ชอบมาก  โรแมนติกสุดๆ  เป็นหนังที่เน้นบทสนทนาเป็นอย่างมาก แต่ก็ดึงดูดใจเป็นอย่างมากเช่นกัน มีฉากที่อยู่ในความทรงจำหลายฉาก  และมีอีกหลายฉากที่อยากให้ชีวิตเราได้มีโอกาสทำแบบนั้น ^_^


เดี๋ยวค่อยมาเพิ่มเติม.... book mark ไว้ก่อนว่าอยากคุยเรื่องนี้  :)

Before Sunrise เป็นหนังปี 1995 เรื่องของหนุ่มสาวที่พบกันบนรถไฟยูเรลจากบูดาเปสต์ไปเวียนนาในวันที่ 16 มิถุนายน ปี 1994  เจสซี่เป็นหนุ่มอเมริกันเพิ่งเลิกกับแฟนและกำลังจะบินกลับบ้านจากเวียนนา นางเอก เซลีน กำลังจะกลับไปเรียนที่ปารีสหลังจากมาเยี่ยมครอบครัว เจสซี่ชวนเซลีนให้ลงรถไฟที่เวียนนา โดยมีเวลาแค่วันเดียวเพราะวันรุ่งขึ้นเจสซี่จะบินกลับอเมริกา  สองคนก็ได้เที่ยวไปในเวียนนา  ค่อยๆเรียนรู้ซึ่งกันและกันจากการพูดคุย (เรื่องนี้บทพูดเยอะมากจริงๆ) เป็นอะไรที่ดรแมนติก  เรื่องจบลงที่สถานีรถไฟวันรุ่งขึ้น นางเอกขึ้นรถไฟไปปารีสโดยทั้งคู่สัญญาว่าจะกลับมาเจอกันที่เดิมในอีก 6 เดือนข้างหน้า  

แล้วเวลาก็ผ่านไป...... 9 ปี

Before Sunset เริ่มเรื่องจากพระเอก(เจสซี่)ที่หลังจากเวลาผ่านไป 9 ปีจากที่พบกับนางเอก(เซลีน) ได้เขียนหนังสือชื่อ This Time เล่าเรื่องราวหนึ่งคืนที่ชายหนุ่มพบกับหญิงสาวในยุโรป หนังสือเล่มนี้กลายเป็นหนังสือขายดี เจสซี่มาโปรโมตหนังสือที่ปารีสที่ร้าน Shakespeare and Company (ตั้งใจว่าถ้าได้ไปปารีสจะไม่พลาดร้านนี้ด้วยประการทั้งปวง) ในระหว่างการให้สัมภาษณ์ เขาหันไปเห็นว่าเซลีนเข้ามายืนฟังอยู่ เงียบๆ เขาตื่นเต้นมากและพยายามปลีกตัวหลังการสัมภาษณ์เพื่อออกมาหาเซลีนที่ยืนคอยอยู่หน้าร้าน ฉากนี้ประทับใจมากเมื่อคิดถึงคนที่ไม่ได้พบกันถึงเก้าปีทั้งๆที่มีความรู้สึกดีๆให้กัน


เจสซี่มีเวลาไม่มากนักก่อนจะเดินทางไปสนามบินเพื่อบินกลับนิวยอร์ก เขานัดหมายเวลาให้รถรอรับ โดยตัวเขาจะใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงนี้กับเซลีน การพูดคุยกันพร้อมๆกับการเดินท่องเมืองดูจะเป็นรูปแบบของคู่นี้ที่โรแมนติกและทำให้รู้จักกันลึกซึ้งทั้งๆที่มีเวลาด้วยกันน้อยนิด


เดาซิว่าชีวิตของคู่นี้เป็นยังไงต่อ ต้องต่อที่่ Before Midnight ค่ะ  :)


ส่วนการตามรอยหนัง Before Sunset ใน Paris ก็ได้ไปสมความตั้งใจคือ ไปตั้งต้นจากโบสถ์นอร์ตเตอดาม เดินข้ามแม่น้ำและข้ามถนนมาก็เจอร้าน Shakespeare and Company เป็นร้านที่มีคนคึกคักทีเดียวถึงจะไม่ได้แน่นมาก หน้าร้านมีกะบะขายหนังสือมือสอง มีโต๊ะเก้าอี้ชุดนึงที่นั่งคุยกันได้ วันนั้นเห็นมีสาวคนหนึ่งนั่งคุยกับสาวอีกสองคน คงคุยกันเกี่ยวกับร้านนี้เพราะดูคนหนึ่งท่าทางเหมือนเป็นคนของร้าน  ข้างในดูแคบเพราะหนังสือเยอะมาก เป็นหนังสือภาษาอังกฤษแยกตามหมวดหมู่ ชั้นบนมีมุมเด็ก บรรยากาศอบอุ่น  แต่ไม่ได้ถ่ายรูปข้างใน ออกจะเกรงใจ ได้ซื้อหนังสือมาเล่มหนึ่งเป็นบทหนัง Before Sunrise และ Before Sunset สองเรื่องในเล่มเดียว และซื้อถุงผ้าของร้านมาอีกใบหนึ่งเป็นที่ระลึก



จากนั้นก็เดินไปข้างๆร้าน มีถนนเส้นเล็กๆที่พระเอกนางเอกเดินคุยกันไป



พอเดินสุดซอยคู่นั้นเขาก็เลี้ยวซ้ายเข้าถนนเล็กๆเส้นนี้ rue Galande ค่ะ เป็นถนนเล็กๆน่ารักมาก


สิงหาคม 2556


มาบันทึกเพิ่มเติมว่าได้ดู Before Midnight แล้ว เนื้อเรื่องของตอนนี้เป็นชีวิตครอบครัวที่มักจะมีปัญหาได้เสมอ แต่ถ้าได้คุยเปิดใจกันก็จะสามารถหาทางแก้ไขได้เช่นกัน  เรื่องนี้มีฉากที่ประเทศกรีซ พระเอกไปส่งลูกชายที่เกิดกับภรรยาเก่ากลับไปอเมริกาจากที่ได้มาพักผ่อนอยู่หลายสัปดาห์ เมื่อกลับไปที่พักซึ่งเป็นบ้านของเพื่อนพระเอก ก็จะมีฉากแบบฉบับของ Before.... ทั้งหลายคือการคุยกัน ทั้งเรื่องความหลังเมื่อพบกัน เรื่องราวในชีวิต การเขียนหนังสือของเจสซี่ ...  จนเมื่อคู่นี้ได้ไปพักค้างคืนที่โรงแรมที่เพื่อนมอบให้เป็นของขวัญ ตอนเดินไปโรงแรมก็ยังดีๆกัน มาเป็นจุดแตกหักเมื่อนางเอกรู้สึกแย่ที่พระเอกพยายามให้ย้ายไปอยู่อเมริกาเพื่อจะได้ใกล้ลูกชายที่พระเอกรู้สึกว่าตัวเองดูแลลูกน้อยไป  นางเอกโกรธมากก็มีการระเบิดอารมณ์ใส่กัน  แต่ในที่สุดก็เป็นตามแบบฉบับคือ ใจเย็นลงและยอมรับกันได้ในที่สุด


ต้องบอกว่าพระเอกนางเอกคู่นี้เป็นไปตามวัยจริงๆ ดูเรื่องนี้จบแล้วย้อนไปดู Before Sunrise เห็นเซลีนกับเจสซี่ตอนหนุ่มสาว  คนละเรื่องกันเลย  แถมรู้สึกอินเหมือนคู่นี้มีชีวิตครอบครัวด้วยกันจริงๆเสียด้วย


สรุปว่าเป็นหนังที่ชอบ ถึงแม้จะไม่มากเท่าสองภาคแรกค่ะ



No comments: